- Blog
- April 29, 2025
ตอบทุกคำถาม คีลอยด์คืออะไร? แผลคีลอยด์รักษาอย่างไร

หมอปอร์เช่
นพ. สราวุธ เหล่ากิจรุ่งโรจน์
แพทย์ผู้ก่อตั้ง DSK Clinic

สารบัญ
คุณหมอขอสรุปให้ แผลเป็นคีลอยด์เป็นอย่างไร รักษาอย่างไรให้ดีขึ้น
– แผลคีลอยด์เป็นรอยแผลเป็นชนิดพิเศษที่นูนและขยายออกนอกขอบเขตบาดแผลเดิม เกิดจากการสร้างคอลลาเจนมากเกินไปในช่วงการซ่อมแซมบาดแผล ทำให้มีลักษณะนูนแข็ง สีแดงหรือคล้ำกว่าผิวปกติ และอาจมีอาการคัน เจ็บ หรือรู้สึกตึงรั้ง พบบ่อยที่หัวไหล่ หน้าอก หลังส่วนบน และใบหู – แผลเป็นคีลอยด์ไม่เป็นอันตราย แต่ส่งผลกระทบต่อความมั่นใจและคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะเมื่อเกิดในตำแหน่งที่มองเห็นได้ชัด การรักษาควรเริ่มต้นโดยเร็ว เพราะแผลคีลอยด์ที่เพิ่งเกิดจะตอบสนองต่อการรักษาได้ดีกว่าแผลที่เป็นมานาน – การรักษาที่ได้ผลดีมีหลายวิธี เช่น การฉีดยาสเตียรอยด์เข้าแผลโดยตรง การรักษาด้วยเลเซอร์ การผ่าตัดร่วมกับวิธีอื่นเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ การใช้แผ่นซิลิโคนกดทับ หรือการผสมผสานหลายวิธีร่วมกัน ควบคู่กับการดูแลตนเองด้วยการปกป้องแผลจากแสงแดด ใช้ผลิตภัณฑ์ลดรอยแผลเป็น และหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บซ้ำ – DSK Clinic เรามีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังที่มีประสบการณ์ในการรักษาแผลเป็นคีลอยด์ พร้อมเทคโนโลยีเลเซอร์ทันสมัยทั้ง Pico Laser, Redtouch Pro และ Potenza รวมถึงการฉีดยาประเภทต่างๆ ที่สามารถปรับการรักษาให้เหมาะสมกับลักษณะแผลคีลอยด์ของแต่ละบุคคล เราเข้าใจผลกระทบของแผลคีลอยด์ต่อความมั่นใจของคุณ และพร้อมให้การรักษาที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยที่สุด เพื่อให้คุณกลับมามั่นใจกับผิวที่ดีขึ้นอีกครั้ง |
แผลคีลอยด์ (Keloid Scar) เป็นปัญหาที่สร้างความกังวลใจให้กับหลายคน เพราะนอกจากจะมีลักษณะที่ไม่สวยงามแล้ว ยังอาจมีอาการเจ็บหรือคันร่วมด้วย ทำให้รู้สึกไม่มั่นใจเวลาเผยผิวในบริเวณที่มีแผลคีลอยด์ หลายคนพยายามหาวิธีรักษาแผลเป็นคีลอยด์ด้วยตัวเองแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้เกิดความท้อแท้และยอมรับสภาพแผลเป็นที่มีอยู่
โชคดีที่ในปัจจุบัน การแพทย์ได้พัฒนาวิธีการรักษาแผลคีลอยด์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยให้แผลเป็นยุบตัวลง จางลง และมีสภาพที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด บทความนี้หมอจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับคีลอยด์อย่างละเอียด ตั้งแต่สาเหตุการเกิด ลักษณะอาการ ตำแหน่งที่พบบ่อย รวมถึงวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้คุณสามารถเลือกวิธีที่เหมาะสมกับตัวเองได้
คีลอยด์คืออะไร?
คีลอยด์ คือ ประเภทของรอยแผลเป็นชนิดหนึ่ง ที่มีลักษณะเฉพาะคือเป็นแผลนูนที่มีการขยายตัวใหญ่ออกนอกขอบเขตของบาดแผลเดิม มักมีสีที่แตกต่างจากผิวปกติโดยรอบ เช่น สีแดง สีชมพู หรือสีคล้ำกว่าผิวปกติ และมักมีลักษณะผิวมันวาว เรียบ หรือเป็นปุ่มนูน
ผู้ที่มีแผลเป็นคีลอยด์มักมีอาการคันหรือเจ็บบริเวณรอยแผลเป็น รู้สึกผิวตึงรั้ง และในบางรายอาจมีความรู้สึกแสบร้อนร่วมด้วย ที่สำคัญคือ จะไม่ยุบแบนราบลงได้เองตามเวลา และในบางรายอาจมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าบาดแผลเดิมจะหายสนิทแล้วก็ตาม
สิ่งที่ทำให้คีลอยด์แตกต่างจากแผลเป็นนูนธรรมดา คือ แผลเป็นนูนธรรมดาจะมีขนาดอยู่ในขอบเขตของบาดแผลเดิมและมักจะยุบตัวลงตามเวลา ในขณะที่คีลอยด์จะขยายขอบเขตออกนอกบริเวณบาดแผลเดิมและไม่ยุบตัวลงเองตามธรรมชาติ
แผลคีลอยด์ มีสาเหตุมาจากอะไร?

สาเหตุของการเกิดแผลคีลอยด์เกิดจากความผิดปกติในกระบวนการซ่อมแซมและเยียวยาบาดแผลของร่างกาย โดยปกติเมื่อผิวหนังได้รับบาดเจ็บ ร่างกายจะเริ่มกระบวนการซ่อมแซมที่ประกอบด้วย 3 ระยะ คือ การอักเสบ การสร้างเนื้อเยื่อใหม่ และการปรับโครงสร้าง
ในกรณีของคีลอยด์ กระบวนการสร้างเนื้อเยื่อใหม่จะผิดปกติ มีการสร้างเนื้อเยื่อและคอลลาเจนมากเกินความจำเป็น ทำให้เกิดความไม่สมดุลระหว่างการสร้างและการสลายคอลลาเจน ส่งผลให้เกิดเป็นแผลนูนที่ขยายตัวออกนอกขอบเขตของบาดแผลเดิม
ลักษณะอาการแผลเป็นคีลอยด์
- แผลนูนเกินขอบเขตบาดแผลเดิม มีสีแดง ชมพู หรือคล้ำกว่าผิวปกติ ผิวมันวาว อาจมีลักษณะเรียบหรือเป็นปุ่มนูน
- มีอาการคันบริเวณแผลเป็น โดยเฉพาะในช่วงที่แผลกำลังขยายตัว
- บางรายอาจมีอาการเจ็บหรือปวดเมื่อมีการกดทับ หรือเสียดสีบริเวณแผล
- มักทำให้รู้สึกว่าผิวตึงรั้ง โดยเฉพาะเมื่ออยู่บริเวณข้อหรือส่วนที่ต้องเคลื่อนไหว
- อาจมีแนวโน้มที่จะขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลา ไม่ยุบตัวลงเองแม้เวลาผ่านไปนาน
ตำแหน่งที่มักพบแผลเป็นคีลอยด์
- หัวไหล่และหน้าอก : บริเวณที่มีการตึงรั้งของผิวหนังมาก มักพบแผลเป็นคีลอยด์ได้บ่อย โดยเฉพาะในผู้ที่เคยผ่าตัดหรือมีบาดแผลบริเวณนี้
- หลังส่วนบน : พบได้บ่อยในผู้ที่มีปัญหาสิวหลัง โดยเฉพาะจากการบีบหรือแกะสิว
- ใบหู : ตั้งแต่ติ่งหูไปจนถึงกระดูกอ่อนของใบหู มักพบในผู้ที่เจาะหูเพื่อความสวยงาม
- ใบหน้า : พบน้อยกว่าบริเวณอื่น แต่หากเกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อความมั่นใจอย่างมาก
- แขนและขา : โดยเฉพาะบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวมาก เช่น ข้อศอก หัวเข่า
แผลเป็นคีลอยด์อันตรายไหม
แผลคีลอยด์ไม่ก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิต เนื่องจากเป็นเพียงความผิดปกติของกระบวนการซ่อมแซมบาดแผลเท่านั้น ไม่ใช่เนื้องอกหรือมะเร็ง แม้ว่าแผลคีลอยด์จะมีขนาดใหญ่หรือขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็ไม่พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์มะเร็งหรือเซลล์ที่เป็นอันตรายแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม แผลเป็นคีลอยด์อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในหลายด้าน เช่น
- ผลกระทบทางกายภาพ : หากเกิดบริเวณข้อหรือส่วนที่ต้องเคลื่อนไหว อาจทำให้เกิดความตึงรั้ง จำกัดการเคลื่อนไหว หรือทำให้รู้สึกไม่สบายได้
- ผลกระทบทางจิตใจ : อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นใจ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในตำแหน่งที่มองเห็นได้ชัด เช่น ใบหน้า หรือคอ ทำให้เกิดความวิตกกังวล ซึมเศร้า หรือแยกตัวจากสังคมได้
- ความไม่สบาย : อาการคัน เจ็บ หรือแสบร้อนที่อาจเกิดขึ้น สามารถรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันหรือการนอนหลับได้
ดังนั้น แม้ว่าแผลเป็นคีลอยด์จะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่การรักษาเพื่อลดขนาดและอาการของแผลเป็นนี้ ก็มีความสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ซึ่งปัจจุบันมีวิธีการรักษาหลากหลายที่ช่วยให้มีสภาพที่ดีขึ้นได้
แนวทางการรักษาแผลคีลอยด์
การรักษาแผลเป็นคีลอยด์มีหลากหลายวิธีขึ้นอยู่กับขนาด ตำแหน่ง ความรุนแรง และระยะเวลาที่เป็น โดยเป้าหมายของการรักษาคือการลดขนาดของแผล บรรเทาอาการไม่สบาย เช่น อาการคันหรือเจ็บ และปรับปรุงลักษณะของผิวหนังให้ดีขึ้น ทั้งนี้การรักษาอาจต้องใช้การรักษาหลายวิธีร่วมกัน และอาจต้องใช้เวลานานเพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
การรักษาแผลคีลอยด์โดยแพทย์
การรักษาแผลเป็นคีลอยด์โดยแพทย์มีหลายวิธี ซึ่งแพทย์จะพิจารณาเลือกวิธีที่เหมาะสมกับสภาพแผลและลักษณะของผู้ป่วยแต่ละราย วิธีการรักษาที่นิยมใช้ ได้แก่
การฉีดยาสเตียรอยด์เข้าแผลโดยตรง (Intralesional corticosteroid injections)
เป็นวิธีรักษามาตรฐานที่ได้ผลดี แพทย์จะฉีดยา Triamcinolone acetonide เข้าไปที่แผลเป็นคีลอยด์โดยตรง ยานี้มีฤทธิ์ลดการอักเสบและยับยั้งการสร้างคอลลาเจนที่มากเกินไป ทำให้แผลยุบตัวลง นุ่มขึ้น และอาการคันหรือเจ็บลดลง การรักษาวิธีนี้มักต้องทำซ้ำหลายครั้ง โดยทั่วไปห่างกันประมาณ 4-6 สัปดาห์ จนกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ
การรักษาด้วยเลเซอร์
เทคโนโลยีเลเซอร์ในปัจจุบันสามารถช่วยลดขนาดและปรับปรุงลักษณะของแผลเป็นคีลอยด์ได้ดี โดยเฉพาะเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่นที่เหมาะสมกับการรักษาแผลเป็น ซึ่งที่ DSK Clinic เรามีเทคโนโลยีเลเซอร์ที่ทันสมัยหลายชนิด ได้แก่:
- Pico Laser : เป็นเลเซอร์รุ่นใหม่ที่ใช้เวลาในการปล่อยพลังงานสั้นมากเพียงหนึ่งในล้านล้านวินาที ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่และปรับโครงสร้างคอลลาเจนที่ผิดปกติในแผลคีลอยด์ ทำให้แผลนุ่มลง สีจางลง และมีลักษณะที่ราบเรียบมากขึ้น เหมาะกับแผลคีลอยด์ที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก
- Redtouch Pro : เป็นเลเซอร์ที่ใช้ความยาวคลื่นสีแดง 675 นาโนเมตร ที่สามารถเข้าถึงชั้นหนังแท้ได้โดยตรง กระตุ้นการสร้างและซ่อมแซมคอลลาเจนอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยปรับโครงสร้างของแผลคีลอยด์ ลดความแดงและความนูนของแผล โดยไม่ต้องมีระยะพักฟื้น เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการหยุดพักกิจวัตรประจำวัน
- Potenza : เป็นเทคโนโลยีล่าสุดที่ผสมผสานคลื่นวิทยุ (RF) กับไมโครนีดดลิ้ง ช่วยในการส่งพลังงานลงลึกถึงชั้นใต้ผิวหนัง กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนชนิดใหม่และปรับโครงสร้างคอลลาเจนที่ผิดปกติในแผลคีลอยด์ เหมาะกับแผลคีลอยด์ที่หนาและมีขนาดใหญ่ เพราะสามารถปรับความลึกในการรักษาได้หลายระดับ
การรักษาด้วยเลเซอร์มักต้องทำหลายครั้ง ห่างกันประมาณ 2-4 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับชนิดของเลเซอร์และความรุนแรงของแผลเป็น
การผ่าตัด
เป็นวิธีที่ใช้ในกรณีที่แผลเป็นคีลอยด์มีขนาดใหญ่มากหรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีอื่น แพทย์จะผ่าตัดออกทั้งหมด หรือบางส่วน แล้วอาจใช้วิธีการอื่นร่วมด้วยเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ เช่น การฉีดสเตียรอยด์หลังผ่าตัด การใช้ผ้ายืดกดทับแผล หรือการทำเลเซอร์ เนื่องจากการผ่าตัดอย่างเดียวมีโอกาสที่จะกลับมาเป็นซ้ำสูง
การฉายรังสี (Radiation Therapy)
ใช้ในกรณีที่แผลเป็นคีลอยด์มีความรุนแรงมากและไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีอื่น มักใช้ร่วมกับการผ่าตัดเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ แต่มีข้อจำกัดเนื่องจากผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
การดูแลแผลเป็นคีลอยด์ด้วยตนเอง
นอกจากการรักษาโดยแพทย์แล้ว การดูแลแผลคีลอยด์ด้วยตนเองก็มีความสำคัญในการส่งเสริมการรักษาและป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ วิธีการดูแลแผลคีลอยด์ด้วยตนเอง มีดังนี้
- ใช้แผ่นซิลิโคนหรือเจลซิลิโคน : สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป โดยให้ปิดทับบริเวณแผลคีลอยด์อย่างน้อยวันละ 12 ชั่วโมง และสามารถถอดออกเมื่ออาบน้ำแล้วปิดใหม่ วิธีนี้เหมาะกับแผลคีลอยด์ที่เพิ่งเริ่มเป็นหรือมีขนาดเล็ก
- หลีกเลี่ยงการบาดเจ็บซ้ำ : พยายามป้องกันไม่ให้เกิดการบาดเจ็บซ้ำบริเวณที่เคยเป็นแผลคีลอยด์หรือบริเวณที่เสี่ยงต่อการเกิด เช่น หลีกเลี่ยงการเจาะหูหากเคยมีประวัติเป็นแผลคีลอยด์ที่หูมาก่อน
- ดูแลแผลใหม่อย่างเหมาะสม : หากมีบาดแผลเกิดขึ้น ควรทำความสะอาดแผลอย่างถูกวิธี ไม่แกะสะเก็ดแผล หรือลูบจับบริเวณแผลบ่อยๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อและการอักเสบที่อาจนำไปสู่การเกิดแผลเป็นคีลอยด์
- ใช้ผลิตภัณฑ์ลดรอยแผลเป็น : ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของซิลิโคนหรือสารสกัดจากหัวหอม (Allium cepa) มีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบและปรับปรุงลักษณะของรอยแผลเป็นได้ ควรใช้อย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำบนฉลาก
- ปกป้องแผลจากแสงแดด : แสงแดดสามารถทำให้แผลเป็นคีลอยด์มีสีเข้มขึ้น และชะลอการหายของแผล ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงทาบริเวณแผลเมื่อต้องออกแดด
- การดูแลสุขภาพทั่วไป : การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การดื่มน้ำเพียงพอ การพักผ่อนให้เพียงพอ และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอช่วยส่งเสริมการซ่อมแซมเนื้อเยื่อและการหายของแผล
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ : การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์มีผลต่อการไหลเวียนของเลือดและการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อการหายของแผล และเพิ่มโอกาสในการเกิดแผลเป็นคีลอยด์
สรุปบทความ
คีลอยด์เป็นรอยแผลเป็นชนิดพิเศษที่มีลักษณะนูนและขยายตัวออกนอกขอบเขตของบาดแผลเดิม เกิดจากความผิดปกติในกระบวนการซ่อมแซมบาดแผลที่มีการสร้างคอลลาเจนมากเกินไป พบบ่อยในคนผิวสีและชาวเอเชีย โดยเฉพาะในบริเวณที่มีการตึงรั้งของผิวหนัง เช่น หัวไหล่ หน้าอก และใบหู แม้ว่าจะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นใจและคุณภาพชีวิต ทำให้รู้สึกเจ็บ คัน หรือไม่สบายได้
การรักษาแผลเป็นคีลอยด์มีหลายวิธี ทั้งการฉีดยาสเตียรอยด์เข้าแผลโดยตรง การรักษาด้วยเลเซอร์สมัยใหม่อย่าง Pico Laser, Redtouch Pro และ Potenza การฉีดยา การผ่าตัด การใช้แผ่นซิลิโคนกดทับ และการฉายรังสี ควบคู่ไปกับการดูแลตนเองอย่างเหมาะสม ที่ DSK Clinic เรามีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเทคโนโลยีทันสมัยพร้อมให้การรักษาที่เหมาะสมกับลักษณะแผลคีลอยด์ของแต่ละบุคคล การรักษาแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้ผลลัพธ์ดีกว่าและลดโอกาสที่แผลจะขยายใหญ่ขึ้นจนยากต่อการรักษาในอนาคต
