- Blog
- May 11, 2025
มอยเจอร์ไรเซอร์ (Moisturizer) ตัวช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นผิว ใครอยากหน้าอ่อนเยาว์ต้องใช้!

หมอปอร์เช่
นพ. สราวุธ เหล่ากิจรุ่งโรจน์
แพทย์ผู้ก่อตั้ง DSK Clinic

สารบัญ
หากคุณกำลังประสบปัญหา “ผิวแห้ง” ที่ทำให้เกิดริ้วรอยง่าย หรือผิวหย่อนคล้อยขาดความยืดหยุ่น บอกเลยว่าสิ่งที่ผิวต้องการที่สุดในตอนนี้คือ “ความชุ่มชื้น” ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ผิวคงความเต่งตึง ยืดหยุ่น และดูอ่อนเยาว์ได้ยาวนาน ทำให้หลายคนมองหา “มอยเจอร์ไรเซอร์” เพื่อเติมความชุ่มชื้นให้กับผิว แต่ก็อาจยังสงสัยว่า จะเลือกมอยเจอร์ไรเซอร์แบบไหนให้เหมาะกับสภาพผิวของตัวเอง วันนี้หมอจะมาไขข้อข้องใจเกี่ยวกับมอยเจอร์ไรเซอร์ให้ทุกคนได้เข้าใจกันแบบหายสงสัยไปเลย!
มอยเจอร์ไรเซอร์ (Moisturizer) คืออะไร?
มอยเจอร์ไรเซอร์ (Moisturizer) คือ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหนัง มีหลากหลายรูปแบบ เช่น ครีม เจล โลชั่น หรือเซรั่ม โดยทำหน้าที่หลักคือการเคลือบผิวให้กักเก็บความชุ่มชื้น ลดการสูญเสียน้ำออกจากผิว และดึงน้ำจากชั้นผิวด้านล่างขึ้นมาสู่ชั้นบน ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น เต่งตึง นุ่มนวล ไม่แห้งกร้าน ช่วยลดเลือนริ้วรอย และทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์มากขึ้น
มอยเจอร์ไรเซอร์ที่ดีควรมีคุณสมบัติที่สำคัญคือ ดูดซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพในการเพิ่มความชุ่มชื้น และสามารถคงอยู่บนผิวได้ยาวนาน โดยไม่ต้องทาซ้ำบ่อยๆ ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้ชั้นผิว ทำให้ผิวพร้อมรับมือกับมลภาวะและสภาพแวดล้อมที่อาจทำร้ายผิวได้
มอยเจอร์ไรเซอร์มีกี่ประเภท

มอยเจอร์ไรเซอร์มีหลากหลายประเภทที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผิวที่แตกต่างกัน โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักตามกลไกการทำงาน ซึ่งแต่ละประเภทก็มีจุดเด่นและประโยชน์ที่แตกต่างกันไป ดังนี้
1. Humectants (เติมน้ำให้ผิว)
Humectants คือ สารที่มีคุณสมบัติในการดึงน้ำจากชั้นผิวด้านล่างขึ้นมาสู่ชั้นบน และยังสามารถดึงความชื้นจากอากาศมาสู่ผิวได้ด้วย ทำให้ผิวชั้นบนมีความชุ่มชื้นมากขึ้น ผิวจึงดูเอิบอิ่ม สดใส ไม่แห้งกร้าน
สารในกลุ่ม Humectants ที่พบบ่อย ได้แก่
- กรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) ที่สามารถอุ้มน้ำได้มากถึง 1,000 เท่าของน้ำหนักตัวเอง
- กลีเซอรีน (Glycerin) ที่ช่วยดึงน้ำเข้าสู่ผิวและกักเก็บความชุ่มชื้น
- ซอร์บิทอล (Sorbitol) และยูเรีย (Urea) ที่ช่วยให้ผิวนุ่มและเรียบเนียน
2. Emollients (ทำให้ผิวนุ่ม)
Emollients คือ สารที่ช่วยเติมเต็มช่องว่างระหว่างเซลล์ผิวที่แห้งและหลุดลอก ทำให้ผิวเรียบเนียน นุ่มนวล และลดความหยาบกร้านของผิว โดยส่วนใหญ่จะเป็นสารจำพวกไขมันหรือน้ำมันที่ซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดี
สารในกลุ่ม Emollients ที่พบบ่อย ได้แก่
- เชียบัตเตอร์ (Shea Butter) ที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่ช่วยบำรุงผิว
- สควาเลน (Squalane) ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับน้ำมันธรรมชาติในผิว
- คอลลาเจน (Collagen) ที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว
- น้ำมันธรรมชาติต่างๆ เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันอาร์แกน หรือน้ำมันโจโจ้บา
3. Occlusives (เคลือบผิว ล็อกความชุ่มชื้น)
Occlusives คือ สารที่ทำหน้าที่สร้างฟิล์มปกคลุมผิว ช่วยป้องกันไม่ให้น้ำระเหยออกจากผิว (Trans-Epidermal Water Loss หรือ TEWL) ทำให้ผิวสามารถรักษาความชุ่มชื้นได้ยาวนานยิ่งขึ้น
สารในกลุ่ม Occlusives ที่พบบ่อย ได้แก่
- ปิโตรลาทัม (Petrolatum) หรือที่รู้จักกันในชื่อวาสลีน
- ซิลิโคน (Silicone) ที่ช่วยให้ผิวเนียนนุ่ม
- ลาโนลิน (Lanolin) ที่สกัดจากขนแกะ
- เซราไมด์ (Ceramides) ที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้ชั้นผิว
มอยเจอร์ไรเซอร์ที่ดีมักจะผสมผสานสารทั้งสามกลุ่มนี้เข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดในการบำรุงผิว ทั้งการเติมน้ำให้ผิว การทำให้ผิวนุ่มเนียน และการล็อกความชุ่มชื้นไว้ในผิว
เลือกมอยเจอร์ไรเซอร์อย่างไรให้เหมาะกับสภาพผิว

การเลือกมอยเจอร์ไรเซอร์ให้เหมาะกับสภาพผิวถือเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะถ้าเลือกไม่ถูกประเภท นอกจากจะไม่ช่วยแก้ปัญหาผิวแล้ว ยังอาจทำให้เกิดปัญหาผิวอื่นๆ ตามมาได้ มาดูกันว่าแต่ละสภาพผิวควรเลือกมอยเจอร์ไรเซอร์แบบไหน
มอยเจอร์ไรเซอร์สำหรับคนผิวธรรมดา
คนผิวธรรมดา หรือผิวปกติ (Normal Skin) เป็นผิวที่มีความสมดุลของความมันและความชุ่มชื้นพอดี ไม่แห้งและไม่มันเกินไป มีรูขุมขนเล็ก และไม่ค่อยมีปัญหาผิว คนผิวประเภทนี้สามารถเลือกใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ได้หลากหลาย ทั้งแบบเนื้อโลชั่นเบาๆ (Water-based moisturizer) ที่ให้ความรู้สึกแห้งเร็ว ไม่เหนอะหนะ หรือแบบเนื้อครีม (Oil-based moisturizer) ที่ให้ความชุ่มชื้นสูงกว่า โดยอาจปรับเปลี่ยนความเข้มข้นตามสภาพอากาศ เช่น ใช้เนื้อบางเบาในหน้าร้อน และเนื้อเข้มข้นในหน้าหนาวที่อากาศแห้ง
มอยเจอร์ไรเซอร์สำหรับคนผิวแห้ง
คนผิวแห้ง (Dry Skin) มักมีปัญหาผิวแห้งกร้าน ตึง แตกเป็นขุย หรือเกิดริ้วรอยได้ง่าย เนื่องจากผิวขาดความชุ่มชื้นและมีการสูญเสียน้ำสูง คนผิวประเภทนี้ควรเลือกมอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีเนื้อครีมเข้มข้น (Rich cream) หรือแบบน้ำมัน (Oil-based moisturizer) ที่มีส่วนผสมของสารในกลุ่ม Occlusives และ Emollients เป็นหลัก เช่น เชียบัตเตอร์, เซราไมด์, กลีเซอรีน, วิตามินอี เพื่อช่วยเคลือบผิวและกักเก็บความชุ่มชื้น ป้องกันการสูญเสียน้ำ ทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื้นยาวนาน
มอยเจอร์ไรเซอร์สำหรับคนผิวมัน
คนผิวมัน (Oily Skin) มักมีปัญหาผิวมันวาว รูขุมขนกว้าง และเกิดสิวง่าย เนื่องจากมีการผลิตน้ำมันจากต่อมไขมันมากเกินไป คนผิวประเภทนี้ควรเลือกมอยเจอร์ไรเซอร์เนื้อเจล (Gel-based moisturizer) หรือโลชั่นเบาๆ (Light lotion) ที่ปราศจากน้ำมัน (Oil-free) และไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (Non-comedogenic) โดยมีส่วนผสมของสารในกลุ่ม Humectants เป็นหลัก เช่น กรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid), ไนอาซินาไมด์ (Niacinamide) ที่ช่วยควบคุมความมัน หรือกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) ที่ช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน
มอยเจอร์ไรเซอร์สำหรับคนผิวผสม
คนผิวผสม (Combination Skin) มีลักษณะผิวที่ผสมระหว่างผิวมันและผิวแห้งในใบหน้าเดียวกัน โดยมักมีความมันบริเวณ T-Zone (หน้าผาก จมูก คาง) และแห้งที่แก้ม คนผิวประเภทนี้ควรเลือกมอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของน้ำและน้ำมันในอัตราส่วนที่พอดี เช่น มอยเจอร์ไรเซอร์เนื้อโลชั่นเบาๆ หรืออาจใช้แบบเจลสำหรับบริเวณที่มัน และแบบเนื้อครีมสำหรับบริเวณที่แห้ง โดยมีส่วนผสมของสารในกลุ่ม Humectants เช่น กรดไฮยาลูรอนิก, อโลเวร่า (Aloe Vera) หรือแพนทีนอล (Panthenol) ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นโดยไม่ทำให้ผิวมันเยิ้ม
มอยเจอร์ไรเซอร์สำหรับคนผิวเป็นสิวง่าย
คนผิวเป็นสิวง่าย (Acne-prone Skin) มักมีปัญหาการอุดตันของรูขุมขนและการอักเสบของผิว ควรเลือกมอยเจอร์ไรเซอร์เนื้อบางเบา เป็นเนื้อน้ำ (Water-based) หรือเนื้อเจล (Gel-based) ที่ระบุว่าไม่ก่อให้เกิดการอุดตันของรูขุมขน (Non-comedogenic) ปราศจากน้ำมัน (Oil-free) และปราศจากแอลกอฮอล์ที่ทำให้ผิวแห้ง โดยมีส่วนผสมของสารต้านการอักเสบ เช่น ไนอาซินาไมด์ (Niacinamide), ว่านหางจระเข้ (Aloe Vera), หรือสารสกัดจากชาเขียว (Green Tea Extract) ซึ่งช่วยลดการอักเสบและควบคุมความมันได้ดี
แนะนำวิธีทามอยเจอร์ไรเซอร์ให้ได้ผลดีที่สุด

การใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ให้ถูกวิธีจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบำรุงผิวให้ดียิ่งขึ้น หมอมีเทคนิคดีๆ มาแนะนำดังนี้
- ควรทาทันทีหลังจากล้างหน้าหรืออาบน้ำ ในขณะที่ผิวยังชื้นอยู่เล็กน้อย เพราะจะช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดียิ่งขึ้น
- สำหรับใบหน้าควรใช้ประมาณขนาดเมล็ดถั่วเขียว ไม่ควรใช้มากเกินไปจนเหนอะหนะ
- เกลี่ยให้ทั่วใบหน้าด้วยการแตะเบาๆ เริ่มจากกลางใบหน้าออกไปด้านนอก
- ทาให้ครอบคลุมถึงบริเวณลำคอด้วย เพราะผิวบริเวณนี้ก็ต้องการการบำรุงเช่นกัน
- ควรทาเป็นประจำทั้งเช้าและเย็น เพื่อให้ผิวชุ่มชื้นตลอดทั้งวัน
- ควรทาหลังจากเซรั่มหรือเอสเซนส์ และก่อนทาครีมกันแดดในตอนเช้า
- รอให้ซึมเข้าสู่ผิวประมาณ 1-2 นาที ก่อนทาผลิตภัณฑ์อื่นทับ
- ในบางครั้ง เราอาจต้องปรับเปลี่ยนความเข้มข้นของมอยเจอร์ไรเซอร์ตามสภาพอากาศ เช่น ใช้เนื้อบางเบาในหน้าร้อน และเนื้อเข้มข้นในหน้าหนาว
“Belotero Revive” ตัวช่วยดูแลผิวฉ่ำน้ำ อิ่มฟู เรียบเนียน
Belotero Revive เป็นนวัตกรรมที่จะช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้นให้ผิวได้อย่างล้ำลึกกว่ามอยเจอร์ไรเซอร์ทั่วไป ด้วยการนำเอาเทคโนโลยีฟิลเลอร์มาพัฒนาเพื่องานผิวโดยเฉพาะ โดย Belotero Revive มีความพิเศษคือเป็นฟิลเลอร์ตัวแรกที่ผสมระหว่างไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) และกลีเซอรอล (Glycerol) เข้าด้วยกัน
ไฮยาลูรอนิค แอซิด ใน Belotero Revive ผ่านการเชื่อมพันธะแบบ Cross-Linked ทำให้อยู่ในผิวได้ยาวนานกว่าไฮยาลูรอนิค แอซิดในครีมทาหรือเซรั่มทั่วไป ซึ่งเมื่อร่วมกับกลีเซอรอลที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและอุ้มน้ำให้ผิว จึงให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนในการทำให้ผิวฉ่ำน้ำ นุ่มเด้ง เรียบเนียน รูขุมขนเล็กลง และลดเลือนริ้วรอย
สิ่งที่ทำให้ Belotero Revive แตกต่างจากการฉีดผิวหน้าแบบอื่นๆ คือ ผลลัพธ์ที่ยาวนานถึง 9 เดือนจากการฉีดเพียงครั้งเดียว ในขณะที่การฉีดผิวแบบอื่นๆ มักให้ผลเพียง 1-2 สัปดาห์เท่านั้น เนื่องจากการใช้ Hyaluronic Acid แบบ Cross-Linked ที่ร่างกายไม่สามารถทำลายได้ง่าย ร่วมกับ Glycerol ที่ช่วยให้ผิวอุ้มน้ำได้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ Belotero Revive ยังช่วยกระตุ้นการทำงานของโมเลกุล Aquaporin ที่ช่วยลำเลียงน้ำในผิวหนัง ทำให้ผิวได้รับความชุ่มชื้นอย่างสม่ำเสมอ ส่งผลให้ผิวดูอิ่มฟู เรียบเนียน มีออร่า และดูอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
“Profhilo” เติมเต็มผิวให้แน่นฟู กระตุ้นคอลลาเจนทุกชั้นผิว
Profhilo เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่ช่วยแก้ไขปัญหาผิวแห้ง หย่อนคล้อย ขาดความยืดหยุ่น และริ้วรอย ที่เกิดจากการลดลงของคอลลาเจนเมื่ออายุมากขึ้น โดย Profhilo จะเข้าไปกระตุ้นและซ่อมแซมเซลล์ผิว โดยเฉพาะเซลล์ Fibroblast ที่ทำหน้าที่สร้างคอลลาเจนในผิวหนัง
จุดเด่นที่ทำให้ Profhilo แตกต่างจากผลิตภัณฑ์กระตุ้นคอลลาเจนอื่นๆ เช่น Sculptra หรือ Radiesse คือความสามารถในการกระตุ้นคอลลาเจนได้ในทุกชั้นผิว ทั้งชั้นตื้นและชั้นลึก ในขณะที่ผลิตภัณฑ์อื่นมักเน้นกระตุ้นเฉพาะชั้นลึกเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ Profhilo จึงช่วยปรับผิวให้เรียบเนียน เพิ่มความยืดหยุ่น และเพิ่มความชุ่มชื้นได้อย่างครบถ้วน
ผลลัพธ์ของ Profhilo จะเริ่มเห็นได้ชัดหลังจากทำไปแล้ว 1 เดือน และจะเห็นผลชัดเจนมากขึ้นหลังจาก 2 เดือน โดยผลลัพธ์ในด้านการกระตุ้นคอลลาเจนและการฟื้นฟูผิวจะอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของปัญหาและการตอบสนองของแต่ละบุคคล ส่วนผลลัพธ์ในการรักษาหลุมสิวจะเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบถาวร
หากต้องการรักษาผลลัพธ์ที่ดีไว้อย่างต่อเนื่อง สามารถเข้ารับการฉีด Profhilo เพื่อกระตุ้นการฟื้นฟูผิวอย่างสม่ำเสมอได้ทุก 6 เดือน เพื่อคงความอ่อนเยาว์และความสดใสของผิวไว้ได้ยาวนาน
สรุปบทความ
มอยเจอร์ไรเซอร์เป็นผลิตภัณฑ์สำคัญที่ขาดไม่ได้ในการดูแลผิว ไม่ว่าคุณจะมีสภาพผิวแบบไหน การเลือกมอยเจอร์ไรเซอร์ให้เหมาะกับสภาพผิวจะช่วยให้ผิวของคุณชุ่มชื้น เต่งตึง และดูอ่อนเยาว์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยคนผิวแห้งควรเลือกมอยเจอร์ไรเซอร์เนื้อครีมเข้มข้น คนผิวมันควรเลือกเนื้อเจลเบาๆ คนผิวผสมควรเลือกแบบที่มีความสมดุลระหว่างน้ำและน้ำมัน และคนผิวเป็นสิวง่ายควรเลือกแบบ Oil-free และ Non-comedogenic
นอกจากการใช้มอยเจอร์ไรเซอร์แล้ว หากต้องการผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนและยาวนานกว่า การเข้ารับบริการ Belotero Revive ที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิวฉ่ำน้ำ หรือ Profhilo ที่ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนทุกชั้นผิว ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
ที่ DSK Clinic เรามีบริการดูแลผิวครบวงจร ทั้งการให้คำปรึกษาเรื่องการเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสม และบริการ Belotero Revive และ Profhilo ที่ช่วยเติมเต็มความอ่อนเยาว์ให้ผิวของคุณ ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่จะวิเคราะห์สภาพผิวและออกแบบการรักษาเฉพาะบุคคล เพื่อให้คุณได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด หากสนใจสามารถปรึกษาและวางแผนการดูแลผิวกับแพทย์ของเราได้ที่ DSK Clinic ทุกสาขา
