- Blog
- February 18, 2025
สิวมีกี่ประเภท เกิดจากสาเหตุใดบ้าง พร้อมวิธีรักษาอย่างละเอียด

หมอปอร์เช่
นพ. สราวุธ เหล่ากิจรุ่งโรจน์
แพทย์ผู้ก่อตั้ง DSK Clinic
สารบัญ
คุณหมอขอสรุป สิวมีกี่ประเภท รักษาด้วยวิธีไหนได้บ้าง?
– สิวมีกี่ประเภท สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ สิวที่มีการอักเสบ (สิวตุ่มแดง สิวหัวหนอง สิวหัวช้าง และสิวซีสต์) และสิวที่ไม่มีการอักเสบ (สิวหัวขาว สิวหัวดำ สิวเสี้ยน และสิวผด) ซึ่งแต่ละประเภทมีลักษณะและความรุนแรงแตกต่างกัน – สาเหตุของการเกิดสิว มีทั้งปัจจัยภายในร่างกาย เช่น ฮอร์โมน พันธุกรรม ความเครียด การนอนหลับ และปัจจัยภายนอก เช่น เครื่องสำอาง การดูแลความสะอาด มลภาวะ และพฤติกรรมการบีบสิว – การรักษาสิวมีหลายวิธี ทั้งการใช้ยาทาเฉพาะที่ ยารับประทาน ยาฉีดสเตียรอยด์ รวมถึงการทำหัตถการด้วยเทคโนโลยีทันสมัย เช่น การฉายแสง LED – การเลือกวิธีรักษาต้องเหมาะสมกับประเภทและความรุนแรงของสิว โดยควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละบุคคล – DSK Clinic นำเสนอการรักษาสิว ที่ได้ผลระยะยาว ได้ผลจริง ปรับตามสาเหตุ ประเภท และระดับความรุนแรงของสิว ด้วยการวิเคราะห์จากแพทย์ผิวหนังร่วมกับการเทคโฯโลยีร่วมในการรักษาสิวเช่น การฉายแสง LED หรือ LLLT |
ปัญหาสิวเป็นปัญหาผิวที่สร้างความกังวลให้กับคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในวัยรุ่นที่มักจะเจอปัญหานี้มากที่สุด หลายคนอาจจะสงสัยว่า สิวมีกี่ประเภท และแต่ละประเภทมีลักษณะแตกต่างกันอย่างไร วันนี้ DSK Clinic จะพาไปทำความรู้จักกับประเภทของสิว สาเหตุการเกิด พร้อมแนวทางการรักษาที่เหมาะสมกัน ใครมีปัญหาเรื่องสิวอยู่ แล้วกำลังมองหาวิธีรักษาที่เหมาะกับตนเอง ห้ามพลาดบทความนี้เลย!
สิว (Acne) ปัญหาผิวกวนใจของวัยรุ่น
สิวเป็นภาวะที่เกิดการอักเสบของต่อมไขมันและรูขุมขน ซึ่งมักพบได้บ่อยในช่วงวัยรุ่นเนื่องจากฮอร์โมนเพศที่เปลี่ยนแปลง ส่งผลให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไป เมื่อรวมกับเซลล์ผิวที่ตายแล้วและแบคทีเรีย จึงก่อให้เกิดการอุดตันและอักเสบขึ้น โดยสิวมักเกิดขึ้นบริเวณใบหน้า หน้าอก และหลัง ซึ่งเป็นบริเวณที่มีต่อมไขมันมาก นอกจากจะส่งผลกระทบต่อความมั่นใจแล้ว สิวยังอาจทิ้งรอยแดง รอยดำ หรือแม้แต่รอยแผลเป็นหลุมสิวให้กังวลใจตามมาอีกด้วย
สิวมีกี่ประเภท มีความแตกต่างกันอย่างไร

เมื่อพูดถึงสิวมีกี่ประเภท หลายคนอาจจะนึกถึงแค่สิวอักเสบ หรือสิวอุดตัน แต่ความจริงแล้ว ประเภทของสิวสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ สิวที่มีการอักเสบ และสิวที่ไม่มีการอักเสบ โดยแต่ละกลุ่มยังมีประเภทย่อยที่แตกต่างกันไปอีก
สิวชนิดที่มีการอักเสบ
สิวชนิดที่มีการอักเสบเป็นสิวที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย P.acnes ในรูขุมขนที่อุดตัน ทำให้เกิดการอักเสบ บวมแดง และอาจมีหนอง เมื่อพูดถึงสิวมีกี่ประเภทในกลุ่มนี้ จะสามารถแบ่งได้เป็น 4 ชนิด ดังนี้
1. สิวที่เป็นตุ่มแดง (Papule) หรือสิวอักเสบ
สิวอักเสบจะมีลักษณะเป็นตุ่มแดงนูนขึ้นมาจากผิวหนัง มีอาการบวม แดง และอาจมีอาการเจ็บเมื่อสัมผัส เกิดจากการอักเสบของผนังรูขุมขนที่มีการอุดตัน ส่งผลให้เกิดการบวมแดงของผิวหนังบริเวณนั้น มักพบได้บ่อยในวัยรุ่นและผู้ที่มีผิวมัน
2. สิวที่มีหนอง (Pustule) หรือสิวตุ่มหนอง
สิวตุ่มหนองเป็นสิวที่มีลักษณะคล้ายกับสิวอักเสบ แต่จะมีหัวหนองสีขาวหรือสีเหลืองอยู่ตรงกลาง เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในรูขุมขนที่อุดตัน ทำให้ร่างกายส่งเม็ดเลือดขาวมาต่อสู้กับเชื้อโรค จึงก่อให้เกิดหนองขึ้น
3. สิวอักเสบขนาดใหญ่ (Nodule) หรือสิวหัวช้าง
สิวหัวช้างเป็นสิวอักเสบที่มีขนาดใหญ่ ลึก และมีอาการปวดมาก เกิดจากการอักเสบรุนแรงลึกลงไปใต้ผิวหนัง มักทิ้งรอยแผลเป็นได้ง่าย จำเป็นต้องได้รับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดรอยแผลเป็นถาวร
4. สิวที่มีการทำลายของผิวข้างในจนเป็นโพรงคล้ายซีสต์ (Acne cysts)
สิวซีสต์เป็นสิวอักเสบที่รุนแรงที่สุด มีลักษณะเป็นก้อนใต้ผิวหนังขนาดใหญ่ ภายในมีของเหลวและหนอง เกิดจากการอักเสบรุนแรงจนทำลายเนื้อเยื่อโดยรอบ มักทิ้งรอยแผลเป็นชนิดหลุมลึก ต้องรักษาด้วยการฉีดยาหรือผ่าตัดโดยแพทย์เท่านั้น
สิวที่ไม่มีการอักเสบ
เมื่อพูดถึงสิวมีกี่ประเภทในกลุ่มที่ไม่มีการอักเสบ จะเป็นสิวที่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขน โดยยังไม่มีการติดเชื้อหรืออักเสบ ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 4 ชนิด ดังนี้
1. สิวอุดตันหัวขาว (Whiteheads) หรือสิวอุดตันหัวปิด
สิวหัวขาวเกิดจากการที่รูขุมขนถูกอุดตันด้วยไขมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้ว แต่ส่วนบนของรูขุมขนปิดสนิท จึงทำให้มองเห็นเป็นจุดนูนสีขาวเล็กๆ บนผิวหนัง มักพบได้บ่อยในผู้ที่มีผิวมันและรูขุมขนกว้าง
2. สิวอุดตันหัวดำ (Blackheads) หรือสิวอุดตันหัวเปิด
สิวหัวดำมีลักษณะคล้ายกับสิวหัวขาว แต่ส่วนบนของรูขุมขนเปิดออก ทำให้ไขมันและเซลล์ผิวที่อุดตันสัมผัสกับออกซิเจนในอากาศ เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันจนกลายเป็นสีดำ จึงมองเห็นเป็นจุดดำเล็กๆ บนผิวหนัง
3. สิวเสี้ยน (Pimples)
สิวเสี้ยนเป็นสิวอุดตันขนาดเล็กที่เกิดจากการสะสมของไขมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้วในรูขุมขน มีลักษณะคล้ายสิวหัวดำแต่มีขนาดเล็กกว่า มักพบได้บริเวณจมูกและแก้ม เป็นสาเหตุของรูขุมขนกว้างได้หากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม
4. สิวผด (Acne Aestivalis)
สิวผดมีลักษณะเป็นตุ่มขนาดเล็กสีขาวหรือสีเนื้อจำนวนมาก มักเกิดในบริเวณที่มีเหงื่อออกมาก เช่น หน้าผาก แก้ม คอ และลำตัว เกิดจากการอุดตันของต่อมเหงื่อ พบได้บ่อยในช่วงอากาศร้อนหรือหลังออกกำลังกาย
ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวมีอะไรบ้าง

เมื่อรู้แล้วว่าสิวมีกี่ประเภท มาดูกันว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดสิว โดยจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ ได้แก่ ปัจจัยภายในร่างกายและปัจจัยภายนอกร่างกาย มีรายละเอียดดังนี้
ปัจจัยภายในร่างกาย
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศ โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่น : เมื่อร่างกายผลิตฮอร์โมนเพศมากขึ้น จะกระตุ้นให้ต่อมไขมันทำงานมากเกินไป ผลิตน้ำมันออกมามาก ทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขนและเกิดสิวได้ง่าย
- พันธุกรรม : หากพ่อแม่มีประวัติเป็นสิวง่าย ลูกก็มีแนวโน้มที่จะเป็นสิวได้ง่ายเช่นกัน เนื่องจากการถ่ายทอดลักษณะของต่อมไขมันและการตอบสนองต่อฮอร์โมนผ่านทางพันธุกรรม
- ความเครียด : เมื่อเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลมากขึ้น ส่งผลให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไป อีกทั้งยังลดภูมิต้านทานของผิวหนัง ทำให้เกิดสิวได้ง่ายขึ้น
- การนอนดึก พักผ่อนไม่เพียงพอ : การอดนอนทำให้ฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุล ระดับคอร์ติซอลสูงขึ้น ส่งผลให้ผิวหนังซ่อมแซมตัวเองได้ไม่ดี และเกิดการอักเสบได้ง่าย
- ระบบการย่อยอาหารผิดปกติ : หากลำไส้ไม่แข็งแรง ดูดซึมสารอาหารไม่ดี จะส่งผลต่อการทำงานของฮอร์โมนและภูมิต้านทาน ทำให้ผิวหนังอ่อนแอและเกิดสิวได้ง่าย
- ภาวะฮอร์โมนไม่สมดุล : โรคบางอย่าง เช่น PCOS ทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเพศชายมากเกินไป กระตุ้นต่อมไขมันให้ทำงานมากขึ้น ส่งผลให้เกิดสิวได้ง่าย
ปัจจัยภายนอกร่างกาย
- การแต่งหน้าด้วยเครื่องสำอางที่อุดตันรูขุมขน : เครื่องสำอางบางชนิดมีส่วนผสมที่อุดตันรูขุมขน เมื่อใช้เป็นเวลานานจะทำให้เกิดการสะสมของไขมันและสิ่งสกปรก นำไปสู่การเกิดสิว
- การล้างหน้าไม่สะอาด : การล้างหน้าไม่สะอาดทำให้สิ่งสกปรก น้ำมัน และเครื่องสำอางตกค้างบนผิว เกิดการอุดตันของรูขุมขน กลายเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรีย
- สภาพอากาศร้อนชื้น : อากาศร้อนชื้นทำให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น เหงื่อออกมาก เมื่อผสมกับฝุ่นละอองและแบคทีเรีย ทำให้เกิดการอุดตันและอักเสบ
- มลภาวะในอากาศ : ฝุ่นละออง PM 2.5 และมลพิษต่างๆ เกาะติดบนผิวหนัง ทำให้รูขุมขนอุดตัน และกระตุ้นการอักเสบของผิว นำไปสู่การเกิดสิว
- การรับประทานอาหารรสจัด มัน หวาน : อาหารที่มีไขมันสูงและน้ำตาลมาก ส่งผลต่อการทำงานของฮอร์โมนและการอักเสบในร่างกาย กระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันมากขึ้น
- การบีบสิว : การบีบสิวทำให้เชื้อแบคทีเรียแพร่กระจาย เกิดการอักเสบมากขึ้น และอาจทำให้เกิดแผลเป็นถาวรได้ นอกจากนี้ยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อซ้ำ
ไม่อยากมีรอยดำและรอยแดงจากสิว ต้องรักษาสิวอย่างถูกวิธี
การรักษาสิวที่ถูกต้องและทันท่วงทีเป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากปล่อยทิ้งไว้นาน หรือรักษาไม่ถูกวิธี อาจทำให้เกิดรอยดำจากสิว รอยแดงจากสิว หรือหลุมสิวตามมาได้ ซึ่งจะมีขั้นตอนการรักษาที่ยุ่งยากกว่าการรักษาสิวปกติมาก ดังนั้นเมื่อเริ่มมีสิว จึงควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับประเภทของสิวและสภาพผิวของตนเองตั้งแต่เนิ่น ๆ
วิธีรักษาสิวด้วยยา

การรักษาสิวด้วยยาเป็นวิธีพื้นฐานที่สำคัญในการรักษาสิว โดยแพทย์จะเลือกใช้ยาให้เหมาะสมกับประเภทและความรุนแรงของสิว ซึ่งมีทั้งยาทาเฉพาะที่ ยารับประทาน และยาฉีดเข้าที่ตัวสิว เพื่อช่วยลดการอักเสบ ยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย และควบคุมการทำงานของต่อมไขมัน
1. ยาทารักษาสิวเฉพาะที่ (Topical Medications)
ยาทาเฉพาะที่เป็นวิธีการรักษาสิวพื้นฐาน แม้ว่าจะใช้เวลานาน แต่ก็มีประสิทธิภาพมาก โดยยาทาแต่ละชนิดจะมีกลไกการออกฤทธิ์ที่แตกต่างกัน เช่น Benzoyl peroxide ที่มีความเข้มข้น 2.5-10% ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว ลดการอักเสบ และช่วยผลัดเซลล์ผิว เหมาะกับสิวอักเสบและสิวหัวหนอง ส่วน Tretinoin เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอที่ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว ป้องกันการอุดตันของรูขุมขน และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เหมาะกับสิวอุดตันและการรักษารอยดำจากสิว
นอกจากนี้ยังมี Adapalene ที่มีคุณสมบัติคล้าย Tretinoin แต่ระคายเคืองน้อยกว่า ช่วยควบคุมการสร้างไขมัน ลดการอักเสบ และป้องกันการอุดตันของรูขุมขน และ Clindamycin ที่เป็นยาปฏิชีวนะชนิดทา มักใช้ร่วมกับ Benzoyl peroxide เพื่อป้องกันการดื้อยา
2. ยารักษาสิวชนิดรับประทาน (Oral Medications)
สำหรับสิวที่มีการอักเสบรุนแรง แพทย์อาจพิจารณาให้ยารับประทาน โดยมียาปฏิชีวนะอย่าง Doxycycline และ Minocycline ที่ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบ มักใช้ในกรณีที่เป็นสิวอักเสบปานกลางถึงรุนแรง โดยใช้ระยะเวลาการรักษาประมาณ 2-3 เดือน
นอกจากนี้ยังมียา Isotretinoin ซึ่งเป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษาสิว ช่วยลดการผลิตน้ำมัน ลดการอักเสบ และป้องกันการเกิดสิว เหมาะกับสิวรุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีอื่น แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
3. ยาฉีดสเตียรอยด์
การฉีดยาสเตียรอยด์เข้าที่ตัวสิวโดยตรงเป็นวิธีการรักษาเฉพาะจุด เหมาะสำหรับสิวอักเสบขนาดใหญ่หรือสิวหัวช้างที่มีอาการปวดบวมมาก โดยยาจะช่วยลดการอักเสบและทำให้สิวยุบตัวเร็วขึ้นภายใน 24-48 ชั่วโมง ช่วยป้องกันการเกิดแผลเป็นจากสิวที่มีการอักเสบรุนแรง
อย่างไรก็ตาม การฉีดสเตียรอยด์ควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะการฉีดผิดตำแหน่งอาจทำให้เกิดรอยบุ๋มได้ และไม่ควรฉีดบ่อยเกินไป เนื่องจากอาจทำให้ผิวบางและเกิดผลข้างเคียงได้
วิธีรักษาสิวด้วยการทำหัตถการ

นอกจากการรักษาด้วยยาแล้ว ปัจจุบันยังมีเทคโนโลยีและนวัตกรรมการรักษาสิวที่ทันสมัย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาให้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะในรายที่เป็นสิวรุนแรง หรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาเพียงอย่างเดียว การทำหัตถการจึงเป็นอีกทางเลือกที่ช่วยจัดการกับปัญหาสิวได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพ โดยต้องทำภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
การฉายแสง LED ฆ่าเชื้อสิว
การฉายแสง LED เป็นนวัตกรรมการรักษาสิวที่ไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด โดยใช้แสง LED สองสี ได้แก่ แสงสีน้ำเงินที่มีความยาวคลื่น 415 นาโนเมตร มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย P.acnes ที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิว และแสงสีแดงที่มีความยาวคลื่น 633 นาโนเมตร ช่วยลดการอักเสบและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้แผลสิวหายเร็วขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีสิวอักเสบระดับเล็กถึงปานกลาง โดยจะเห็นผลชัดเจนหลังทำ 4-6 ครั้ง และไม่มีผลข้างเคียงรุนแรง สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที
จบทุกปัญหาเรื่องสิว รอยสิว และหลุมสิว ที่ DSK Clinic
หลังจากที่เราได้รู้แล้วว่า สิวมีกี่ประเภท และวิธีการรักษาที่เหมาะสมสำหรับสิวแต่ละชนิด สิ่งสำคัญที่สุดในการรักษาสิวให้ได้ผลดีคือการเลือกสถานที่รักษาที่มีความน่าเชื่อถือและมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพราะการรักษาสิวไม่ได้มีแค่การจ่ายยาหรือทายาเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยการวินิจฉัยที่แม่นยำ การวิเคราะห์สาเหตุของการเกิดสิว และการวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละบุคคล รวมถึงการเลือกใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมการรักษาที่ครบครับทันสมัยได้มาตรฐาน เพื่อให้การรักษาเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ปลอดภัย และลดโอกาสการเกิดผลข้างเคียง หรือภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้
DSK Clinic เป็นคลินิกความงามและผิวหนังชั้นนำที่มีความเชี่ยวชาญในการรักษาปัญหาสิว รอยสิว และหลุมสิว ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยได้มาตรฐาน USFDA พร้อมทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่จะวิเคราะห์ปัญหาผิวและวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล ผสานการวิเคราะห์อย่างตรงจุดถึงสาเหตุและการเลือกใช้เครื่องมือที่ตอบโจทย์กับชนิดของปัญหาสิวด้วยเทคนิค Custom Skin Quality เลือกการรักษาที่เหมาะสม ปรับเทคนิคและการตั้งค่าตามสาเหตุ เพื่อวางแผนการรักษาระยะยาวและการติดตามผลลัพธ์อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยมีจุดเด่นในการใช้ Picosecond Laser ด้วยเทคนิค Custom Pico ที่ตั้งค่าพลังงานและวิเคราะห์เฉพาะบุคคล นอกจากนี้หากผู้รับบริการมีปัญหาด้านหลุมสิวยังมีการรักษาด้วยการตัดผังผืด (Subcision) ร่วมกับการแต้มกรด TCA และการเติม Biostimulator เช่น Sculptra หรือ Profhilo ที่ใช้เทคนิคเฉพาะของ DSK Clinic เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ภายใต้การดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและเลเซอร์ที่ผ่านการอบรมและอัปเดตเทคนิคด้านเลเซอร์ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าจะได้รับการรักษาที่เหมาะสม มีประสิทธิภาพ และปลอดภัยที่สุด
โปรแกรมรักษาสิวครบวงจรที่ DSK Clinic

