- Blog
- Acne treatment
- September 1, 2025
สิวผดใช้อะไรดี? รู้จักสาเหตุ พร้อมวิธีรักษาที่ถูกต้องจากหมอผิวหนัง

หมอปอร์เช่
นพ. สราวุธ เหล่ากิจรุ่งโรจน์
แพทย์ผู้ก่อตั้ง DSK Clinic

สารบัญ
สิวผด ปัญหาผิวที่สร้างความรำคาญใจให้ใครหลายคน ลักษณะเป็นตุ่มเล็ก ๆ ที่มักเห่อขึ้นมาเมื่ออากาศร้อนหรือเจอเหงื่อ ทำให้ผิวไม่เรียบเนียน แต่งหน้าไม่ติดทน และบางครั้งก็มีอาการคันยุบยิบร่วมด้วย หลายคนอาจเข้าใจผิดคิดว่าเป็นสิวทั่วไป แต่ความจริงแล้วสิวผดมีสาเหตุและวิธีดูแลที่แตกต่างออกไป บทความนี้หมอจะพาไปทำความรู้จักกับสิวผดอย่างละเอียด ตั้งแต่สาเหตุที่แท้จริง ไปจนถึงแนวทางการรักษาและป้องกันที่ถูกต้อง เพื่อให้คุณบอกลาสิวผด เผยผิวเรียบเนียนได้อย่างมั่นใจครับ
สิวผด คืออะไร?

สิวผด (Acne Aestivalis หรือ Mallorca Acne) ไม่ใช่สิวในความหมายที่แท้จริง แต่เป็นผดผื่นชนิดหนึ่งที่เกิดจากการอักเสบของรูขุมขน มีลักษณะเป็นตุ่มนูนแดงหรือตุ่มน้ำใสขนาดเล็ก (ประมาณ 1-2 มม.) ไม่มีหัวสิว กดออกได้เหมือนสิวอุดตัน มักจะปรากฏขึ้นพร้อมกันในบริเวณกว้าง ๆ โดยเฉพาะหน้าผาก แก้ม คาง หรือบริเวณกรอบหน้า เมื่อสัมผัสจะรู้สึกสาก ไม่เรียบเนียน สิวผดมักจะเห่อชัดขึ้นในช่วงที่อากาศร้อนจัด มีเหงื่อออกมาก หรือหลังเผชิญแสงแดด และอาการอาจดีขึ้นเองเมื่ออยู่ในที่ที่อากาศเย็นลง
ความแตกต่างของสิวผด สิวอุดตัน และสิวเชื้อรา
แม้จะดูคล้ายกัน แต่สิวทั้งสามชนิดนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงครับ สิวผดจะเป็นตุ่มแดงเล็ก ๆ ไม่มีหัว อาจมีอาการคัน และมักถูกกระตุ้นโดยความร้อนและแสงแดด
ในขณะที่สิวอุดตัน เกิดจากการอุดตันของไขมันและเซลล์ผิวเก่า มีลักษณะเป็นหัวสิว (หัวดำหรือหัวขาว) ไม่ค่อยมีอาการคัน และสามารถกดออกได้
ส่วนสิวเชื้อรา (Fungal Acne) เกิดจากการเจริญเติบโตที่ผิดปกติของเชื้อรายีสต์ Malassezia มีลักษณะเป็นตุ่มแดงขนาดเท่า ๆ กัน มักขึ้นบริเวณหน้าผาก กรอบหน้า หน้าอก และแผ่นหลัง โดยจะมีอาการคันชัดเจนกว่าสิวผด การแยกชนิดสิวได้ถูกต้องคือขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุดในการรักษาครับ
สิวผดเกิดจากสาเหตุใดได้บ้าง?

ปัญหาสิวผดเกิดได้จากหลายปัจจัยร่วมกัน ทั้งจากปัจจัยภายนอกที่ควบคุมได้และปัจจัยภายในร่างกาย ซึ่งหมอได้รวบรวมสาเหตุหลัก ๆ ที่พบบ่อยมาให้แล้วดังนี้ครับ
ความร้อน แสงแดด และเหงื่อ
นี่คือปัจจัยกระตุ้นอันดับหนึ่งเลยครับ รังสี UVA ในแสงแดดสามารถทำร้ายผิวและกระตุ้นให้ต่อมไขมันทำงานผิดปกติ เมื่อรวมกับอุณหภูมิที่สูงขึ้น ทำให้ต่อมเหงื่อไม่สามารถระบายเหงื่อได้ดีพอ เกิดการอุดตันและกลายเป็นผดผื่นขึ้นมาได้ง่าย สังเกตได้ว่าหลายคนมักมีอาการสิวผดเห่อขึ้นในช่วงบ่ายๆ หรือหลังทำกิจกรรมกลางแจ้ง
เชื้อรา P. Ovale และความมันบนใบหน้า
บนผิวของเรามีเชื้อรายีสต์ชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า Pityrosporum Ovale (หรือ Malassezia) อาศัยอยู่เป็นปกติ ซึ่งจะเจริญเติบโตได้ดีโดยมีน้ำมันบนผิว (Sebum) เป็นอาหาร เมื่อผิวผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป ร่วมกับอากาศที่ร้อนชื้น จะทำให้เชื้อรานี้เพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วจนไปกระตุ้นให้รูขุมขนอักเสบและเกิดเป็นสิวผดขึ้นมา
เกราะป้องกันผิวอ่อนแอ (Weak Skin Barrier)
เกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) คือปราการด่านสำคัญที่ช่วยปกป้องผิวจากมลภาวะและเชื้อโรคต่าง ๆ พร้อมทั้งกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ หากเกราะป้องกันผิวอ่อนแอจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่รุนแรงเกินไป การขัดถูผิวบ่อยๆ หรือพักผ่อนน้อย ผิวจะสูญเสียความชุ่มชื้นและไวต่อการระคายเคืองจากปัจจัยภายนอกได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้เกิดสิวผดตามมาได้
การแพ้และระคายเคืองจากสกินแคร์หรือเครื่องสำอาง
ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหรือเครื่องสำอางบางชนิดที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ น้ำหอม สารกันเสีย หรือซิลิโคนที่อุดตันง่าย อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองและกระตุ้นให้ผิวที่บอบบางอยู่แล้วเกิดเป็นสิวผดขึ้นมาได้ รวมถึงการใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวอย่าง AHA, BHA ที่เข้มข้นเกินไปก็เป็นสาเหตุได้เช่นกัน
มลภาวะและฝุ่น PM2.5
ฝุ่นละอองขนาดเล็กอย่าง PM2.5 สามารถเกาะติดบนผิวและแทรกซึมเข้าไปอุดตันรูขุมขนได้ง่าย เมื่อรวมกับความมันและเหงื่อ จะกลายเป็นแหล่งสะสมของเชื้อแบคทีเรีย ทำให้ผิวเกิดการอักเสบและระคายเคืองจนกลายเป็นสิวผดในที่สุด
พฤติกรรมการใช้ชีวิต
พฤติกรรมบางอย่างที่เราอาจมองข้ามก็เป็นตัวการสำคัญ เช่น การใส่หน้ากากอนามัยเป็นเวลานานทำให้เกิดความอับชื้น, การใช้มือที่ไม่สะอาดสัมผัสใบหน้าบ่อยๆ, การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ และความเครียดสะสม ทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลให้ฮอร์โมนแปรปรวนและเกราะป้องกันผิวอ่อนแอลง ทำให้สิวผดถามหาได้ง่ายขึ้นครับ
รวมวิธีรักษาสิวผดให้ได้ผลจริง เริ่มจากดูแลตัวเองสู่การรักษาโดยแพทย์

การรักษาสิวผดให้ได้ผลดีที่สุดต้องอาศัยความเข้าใจและการดูแลที่ถูกต้อง หมอได้แบ่งแนวทางการรักษาออกเป็น 2 ส่วนหลัก ๆ ตั้งแต่การดูแลตัวเองเบื้องต้นไปจนถึงการรักษาทางการแพทย์ครับ
การดูแลตัวเองเพื่อลดและป้องกันสิวผด (Self-Care)
การปรับพฤติกรรมและดูแลผิวอย่างถูกวิธีคือหัวใจสำคัญของการควบคุมสิวผด ซึ่งหากดูแลได้ดีตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็จะช่วยลดโอกาสเกิดรอยสิวในอนาคตได้ด้วย สำหรับคนที่มีปัญหาสิวรุนแรง การปรับพฤติกรรมควบคู่ไปกับการเลือกรับประทานอาหารลดสิว และปรึกษาแพทย์เพื่อหาวิธีลดรอยสิวที่เหมาะสมจะช่วยให้ผลลัพธ์ดียิ่งขึ้นครับ เบื้องต้นสามารถทำตามขั้นตอนเหล่านี้ได้เลย
- หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น : พยายามเลี่ยงการเผชิญแสงแดดจัดๆ ในช่วง 10.00-16.00 น. หากจำเป็นควรสวมหมวกหรือใช้ร่ม และซับเหงื่อเบาๆ ด้วยทิชชูสะอาดแทนการใช้ผ้าถู
- ล้างหน้าให้สะอาดและถูกวิธี : ล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง (เช้า-เย็น) ด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ไม่ควรถูหน้าแรงๆ หรือล้างหน้าบ่อยเกินไป เพราะจะยิ่งทำลายเกราะป้องกันผิว
- เลือกใช้สกินแคร์ที่เสริมเกราะป้องกันผิวและให้ความชุ่มชื้น : มองหาส่วนผสมอย่าง Ceramide, Hyaluronic Acid, Niacinamide เพื่อเติมความชุ่มชื้นและฟื้นฟูให้ Skin Barrier แข็งแรง
- งดการสครับ ขัด ถู หรือรบกวนผิว : การรบกวนผิวบริเวณที่เป็นสิวผดจะยิ่งกระตุ้นให้เกิดการอักเสบและอาจทำให้ผดลุกลามได้
การรักษาสิวผดด้วยยาและหัตถการทางการแพทย์ (Medical Treatment)
หากดูแลตัวเองแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น หรือเป็นสิวผดรุนแรง การเข้าพบแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่ตรงจุดเป็นสิ่งจำเป็นครับ โดยแพทย์อาจพิจารณาแนวทางต่อไปนี้
- ยาทาเฉพาะที่ : แพทย์อาจสั่งยาที่มีส่วนผสมของ Ketoconazole เพื่อยับยั้งเชื้อรา หรือยาในกลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ (Retinoids) เช่น Adapalene เพื่อช่วยควบคุมการทำงานของรูขุมขนและลดการอุดตัน แต่ยาเหล่านี้ควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
- ยารับประทาน : ในกรณีที่เป็นรุนแรงและคาดว่ามีสาเหตุจากเชื้อรา แพทย์อาจพิจารณาให้ยารับประทานเพื่อฆ่าเชื้อรา
- หัตถการทางการแพทย์ : การทำทรีตเมนต์ที่ช่วยเสริมความแข็งแรงให้ผิว หรือการใช้เลเซอร์บางชนิดที่ช่วยควบคุมความมันและปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนขึ้น ก็เป็นอีกทางเลือกที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีและรวดเร็ว โดยแพทย์จะประเมินตามสภาพผิวของแต่ละบุคคล
วิธีป้องกันสิวผด ไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ
เมื่อรักษาสิวผดจนดีขึ้นแล้ว การป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำคือสิ่งสำคัญที่สุดครับ เพียงแค่เราปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็สามารถมีผิวที่แข็งแรงและห่างไกลจากสิวผดได้แล้ว
ทาครีมกันแดดเป็นประจำ
ครีมกันแดดคือเพื่อนแท้ของผิวครับ ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30-50 PA+++ ขึ้นไป ทาให้ทั่วใบหน้าและลำคอทุกวันในตอนเช้า แม้จะไม่ได้ออกไปไหน เพราะรังสี UVA สามารถทะลุผ่านกระจกเข้ามาทำร้ายผิวเราได้ การทาครีมกันแดดเป็นประจำจะช่วยปกป้องผิวจากปัจจัยกระตุ้นหลักของสิวผดได้เป็นอย่างดี
เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (Non-Comedogenic)
อ่านฉลากผลิตภัณฑ์ก่อนซื้อเสมอครับ ควรมองหาคำว่า “Non-Comedogenic” (ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน), “Hypoallergenic” (สำหรับผิวแพ้ง่าย) และหลีกเลี่ยงส่วนผสมที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น แอลกอฮอล์, น้ำหอม, และพาราเบน เพื่อลดความเสี่ยงในการกระตุ้นให้เกิดสิวผด
เสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงอยู่เสมอ
ดูแลให้ Skin Barrier แข็งแรงคือการป้องกันที่ยั่งยืนที่สุดครับ ทำได้ง่ายๆ โดยการใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่ให้ความชุ่มชื้นเป็นประจำ, ดื่มน้ำให้เพียงพอ, นอนหลับให้ครบ 7-8 ชั่วโมง และจัดการความเครียด เมื่อผิวเราแข็งแรงจากภายใน ก็จะสามารถต่อสู้กับปัจจัยกระตุ้นภายนอกได้ดีขึ้น
ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับสิวผดที่หมออยากแก้ไข
มีความเข้าใจผิดมากมายเกี่ยวกับสิวผดที่ทำให้หลายคนดูแลผิวผิดวิธี จนอาจทำให้อาการแย่ลงได้ หมอจึงอยากขอแก้ไขความเชื่อเหล่านี้เพื่อให้ทุกคนดูแลผิวได้อย่างถูกต้องครับ
สิวผดเกิดจากความสกปรกเท่านั้น
ไม่จริงเสมอไปครับ แม้มลภาวะและสิ่งสกปรกจะเป็นปัจจัยหนึ่ง แต่สาเหตุหลักของสิวผดนั้นซับซ้อนกว่ามาก ทั้งความร้อน แสงแดด เชื้อรา และความอ่อนแอของเกราะป้องกันผิว ดังนั้น ต่อให้ล้างหน้าสะอาดแค่ไหน แต่ถ้าเกราะป้องกันผิวไม่แข็งแรง ก็ยังสามารถเป็นสิวผดได้อยู่ดี
ยิ่งล้างหน้าบ่อย ๆ ยิ่งช่วยให้สิวผดหายเร็ว
เป็นความเชื่อที่อันตรายมากครับ การล้างหน้าบ่อยเกินไปหรือใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่รุนแรง จะเป็นการชะล้างน้ำมันตามธรรมชาติและทำลายเกราะป้องกันผิว ทำให้ผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื้น และไวต่อการระคายเคืองมากขึ้น ผลที่ตามมาคือสิวผดอาจเห่อหนักกว่าเดิม
ต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้หน้าแห้งเพื่อคุมมัน ลดสิวผด
ผิดมหันต์เลยครับ แม้ความมันจะเป็นอาหารของเชื้อรา แต่การทำให้ผิวแห้งตึงไม่ใช่ทางออก เพราะเมื่อผิวขาดความชุ่มชื้น ร่างกายจะยิ่งผลิตน้ำมันออกมาทดแทนมากขึ้น กลายเป็นวงจรที่ไม่จบสิ้น ทางที่ถูกคือการใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่เหมาะสมเพื่อรักษาสมดุลความชุ่มชื้นของผิว ซึ่งจะช่วยให้ผิวแข็งแรงและผลิตน้ำมันในปริมาณที่พอเหมาะ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสิวผด (FAQ)
หมอได้รวบรวมคำถามที่คนไข้มักจะถามเกี่ยวกับสิวผดมาไว้ที่นี่แล้ว เพื่อไขข้อข้องใจให้ทุกคนครับ
สิวผดกี่วันหาย?
ระยะเวลาขึ้นอยู่กับความรุนแรงและสาเหตุครับ หากเกิดจากปัจจัยกระตุ้นชั่วคราว เช่น อากาศร้อน เมื่อหลีกเลี่ยงปัจจัยนั้น ๆ สิวผดอาจดีขึ้นใน 2-3 วัน แต่หากเกิดจากเกราะป้องกันผิวอ่อนแอหรือเชื้อรา อาจต้องใช้เวลาดูแลต่อเนื่องเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือนจึงจะหายดีครับ
ควรบีบสิวผดไหม?
ไม่ควรเด็ดขาดครับ เพราะสิวผดไม่มีหัวให้กดออก การพยายามบีบหรือเค้นจะยิ่งทำให้ผิวบริเวณนั้นอักเสบ ช้ำ และอาจทิ้งรอยดำหรือแผลเป็นไว้ได้ แถมยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนอีกด้วย
การใส่หน้ากากอนามัยทำให้เป็นสิวผดจริงหรือไม่?
จริงครับ การใส่หน้ากากอนามัยนานๆ ทำให้เกิดการเสียดสี ความร้อน และความอับชื้นสะสม ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบให้เชื้อราเจริญเติบโตและกระตุ้นการเกิดสิวผดได้ ควรเปลี่ยนหน้ากากอนามัยระหว่างวันและมีช่วงเวลาให้ผิวได้พักบ้าง
สิวผดจำเป็นต้องหาหมอไหม?
หากเป็นสิวผดเล็กน้อยและตอบสนองต่อการดูแลตัวเองเบื้องต้นก็อาจไม่จำเป็นต้องหาหมอครับ แต่ถ้าหากอาการไม่ดีขึ้นใน 1-2 สัปดาห์, เป็นสิวผดรุนแรง, มีอาการคันมาก หรือไม่แน่ใจว่าใช่สิวผดหรือไม่ หมอแนะนำให้มาพบแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกวิธีครับ
สรุป ดูแลผิวให้ถูกวิธี คือหัวใจของการรักษาสิวผด
สิวผด เป็นปัญหาผิวที่เกิดจากหลายปัจจัยซับซ้อน ไม่ว่าจะเป็นแสงแดด ความร้อน เชื้อรา และเกราะป้องกันผิวที่อ่อนแอ การรักษาที่มีประสิทธิภาพจึงไม่ใช่แค่การใช้ยา แต่คือการทำความเข้าใจสาเหตุและปรับการดูแลผิวให้ถูกต้อง เริ่มตั้งแต่การหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น, ทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน, ทาครีมกันแดดสม่ำเสมอ และที่สำคัญที่สุดคือการฟื้นฟูเกราะป้องกันผิวให้กลับมาแข็งแรง
สำหรับใครที่กำลังเผชิญปัญหาสิวผดเรื้อรัง หรือปัญหาผิวอื่นๆ ที่ยังหาทางออกไม่ได้ ที่ DSK Clinic เราเชื่อมั่นในการวิเคราะห์ผิวเฉพาะบุคคล ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังของเราพร้อมให้คำปรึกษาเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ เพื่อคืนผิวที่เรียบเนียน กระจ่างใส และแข็งแรงอย่างยั่งยืน
