- April 6, 2024
เทียบให้ชัด! Sculptra VS Filler ตัวช่วยเติมเต็มใบหน้า เลือกตัวไหนดี?
หมอปอร์เช่
นพ. สราวุธ เหล่ากิจรุ่งโรจน์
แพทย์ผู้ก่อตั้ง DSK Clinic
สารบัญ
คุณหมอขอสรุป Sculptra และ Filler ที่ DSK Clinic ดียังไง ?
– Sculptra คือสารกลุ่ม Collagen Biostimulator ที่มีสาร Poly-L-Lactic Acid (PLLA) เป็นองค์ประกอบหลัก – Sculptra ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเส้นใยคอลลาเจน อีลาสติน และสร้าง Hyaluronic Acid เพิ่มมากขึ้น – หลังทำ Sculptra ส่งผลให้อ่อนเยาว์ ผิวกระชับขึ้น ริ้วรอยดูตื้นขึ้น – เห็นผลหลังฉีดราวๆ 1 – 3 เดือน และอยู่ได้นานถึง 25 เดือน ไม่แสดงผลทันทีเพราะเป็นการกระตุ้นคอลลาเจนตามธรรมชาติ ร่างกายค่อยๆสร้างขึ้นมา – ฟิลเลอร์ (HA Filler) คือสารที่ฉีดเข้าไปเพื่อช่วยเติมเต็ม และแก้ไขปัญหาบนใบหน้า เป็นสารที่เลียนแบบสารธรรมชาติที่มีอยู่แล้วในร่างกาย ช่วยเติมเต็มร่องลึก และช่วยกักเก็บน้ำ – เมื่อเติมเต็มด้วย HA Filler จะทำให้ผิวกลับมาเต่งตึงขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ช่วยลดริ้วรอย ช่วยยกกระชับ – หลังเติมสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันที ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานแค่ 6-18 เดือน ขึ้นกับยี่ห้อฟิลเลอร์ บริเวณที่ฉีด และการดูแลตัวเองหลังฉีด – ฟิลเลอร์นั้นมีหลายเนื้อ ฉะนั้น ไม่ว่าจะแก้ปัญหาใดด้วยฟิลเลอร์ การยกตัวของฟิลเลอร์จะตั้งทรงได้สูงกว่า และ แข็งกว่าการฉีดด้วย Sculptra ที่ค่อยๆ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน – การใช้ Sculptra จึงใช้เพื่อสร้างความแน่นฟูของผิวเป็นหลัก ส่วนการใช้ฟิลเลอร์ใช้เพื่อทดแทนปริมาตรเชิงโครงสร้างเป็นหลัก – สิ่งที่ทำให้ DSK แตกต่าง ไม่ใช่เพียงเทคนิคการฉีด Sculptra และ HA Filler แต่คือ ABI Technique เป็นเทคนิคพิเศษที่ DSK วิเคราะห์เฉพาะบุคคลตามปัญหา ประเมินตำแหน่งที่ถูกต้อง สวยกว่า แม่นยำกว่า ธรรมชาติกว่า ใช้ยาน้อยกว่า มั่นใจได้ว่าการรักษาได้ผลลัพธ์สูงสุด |
เมื่ออายุมากขึ้น ผิวพรรณจะเริ่มเสื่อมสภาพ สาเหตุหลักมาจาก คอลลาเจน และอีลาสตินบริเวณผิวชั้นลึกเสื่อมสภาพลง ส่งผลให้ผิวหย่อนคล้อย เกิดริ้วรอย นอกจากนี้ กระดูกบริเวณใบหน้ายังมีการกร่อน และทรุดตัว ทำให้ใบหน้าเปลี่ยนแปลง รูปทรงใบหน้าเปลี่ยนไป ผิวพรรณยังบางลง ไม่เต่งตึง และดูแห้งกร้านมากขึ้น
ทั้งนี้ ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้ผิวแก่ก่อนวัยทั้งที่อายุยังน้อย เช่น ฝุ่น ควัน แสงแดด หรือพฤติกรรมการใช้ชีวิต เป็นต้น การย้อนวัยให้ผิวกลับเต่งตึงก็สามารถทำได้หลายวิธี อย่างการฉีด HA Filler หรือ การฉีด Sculptra (Biostimulator) ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ แล้วระหว่าง Sculptra vs Filler เลือกใช้ตัวไหนดี? Sculptra vs Dermal Fillers ต่างกันยังไง? บทความนี้จะพาไปรู้จักความแตกต่างของทั้งสองตัว และแบบไหนเหมาะกับใครบ้าง
Sculptra คืออะไร
ก่อนอื่นมาทำความรู้จักก่อนว่า Sculptra คืออะไร? โดย Sculptra ก็คือสารที่จัดอยู่ในกลุ่ม Collagen Biostimulator ที่มีสาร Poly-L-Lactic Acid (PLLA) เป็นองค์ประกอบหลัก มีคุณสมบัติในการกระตุ้นให้ร่างกายมีการสร้างเส้นใยคอลลาเจน อีลาสติน เมื่อผิวมีคอลลาเจนเพิ่มมากขึ้น จะส่งผลให้ผิวเรียบเนียน กระชับ รูขุมขนเล็กลง ร่องริ้วรอยต่างๆ ดูตื้นขึ้น ผิวจึงแลดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ
HA Filler คืออะไร
แล้ว ฟิลเลอร์คืออะไร? ฟิลเลอร์ หรือ HA Filler คือสารเติมเต็มที่ฉีดเข้าไปเพื่อแก้ไขปัญหาส่วนที่ยุบตัว หย่อนคล้อย หรือ ริ้วรอย เพื่อเติมเต็มส่วน ต่างๆ บนใบหน้าโดยฟิลเลอร์ที่ได้รับมาตรฐาน อย. ไทยในปัจจุบัน คือฟิลเลอร์ประเภทชั่วคราวในรูปแบบสารไฮยาลูโรนิคแอซิด (HA) ซึ่งเป็นสารที่เลียนแบบสารธรรมชาติที่มีในร่างกาย มีคุณสมบัติในการช่วยกักเก็บน้ำ ใช้เติมเต็มร่องลึก กักเก็บน้ำ เพื่อให้ผิวอิ่มฟู เต่งตึง ชุ่มชื้น ซึ่งหลังเติมสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันที
Sculptra VS HA Filler ต่างกันอย่างไร เลือกตัวไหนดี
Sculptra VS HA Filler มีความแตกต่างกันอย่างไร ควรเลือกใช้ตัวไหนดี มาดูตารางเปรียบเทียบว่าต่างกันอย่างไร เพื่อประกอบการตัดสินใจ
Sculptra | Filler | |
---|---|---|
ประเภทของสาร | Poly-L-Lactic-Acid | Hyaluronic acid ที่ผ่านกระบวนการเชื่อมพันธะให้มีเนื้อเจลที่หลากหลาย ทั้งนิ่ม และแข็ง |
หลักการทำงาน | กระตุ้นการสร้าง Collagen type 1 โดยกระบวนการของร่างกายตามธรรมชาติ | เติมเต็มทดแทนส่วนที่หายไป “เนื้อเจล” Cross-linked Hyaluronic acid สังเคราะห์ให้มีองค์ประกอบที่ผสานกับเนื้อเยื่อจริงได้ |
ข้อดี | กระตุ้นคอลลาเจนใต้ผิว ทำให้ผิวฟูขึ้น แน่นขึ้น เรียบเนียนขึ้น ร่องริ้วรอยตื้นขึ้น เพิ่มความแข็งแรงให้ผิวตามธรรมชาติ เพิ่มความกระจ่างใส และลดรอยหลุมสิว | ช่วยลดริ้วรอย เติมเต็มร่องแก้ม และริ้วรอยต่างๆ เสริมจมูก และคาง ยกกระชับ ปรับรูปหน้าให้ได้รูปสวยขึ้น |
บริเวณที่ฉีด | ผิวทั่วใบหน้าบริเวณที่ต้องการความเฟิิร์มแน่น ฟูของผิวมากขึ้น ยกเว้น บางบริเวณเช่น หน้าผาก จมูก และบริเวณที่มีการขมับมากเช่นริมฝีปาก ร่องแก้ม | บริเวณที่มีการหายไป หรือทรุดตัวของ กระดูกและไขมัน ได้แก่ ร่องแก้ม ขมับ ใต้ตา คาง ริมฝีปาก หน้าแก้ม เป็นต้น |
ระยะเวลาที่เริ่มเห็นผลลัพธ์ | 1-3 เดือน เพราะเป็นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติของร่างกาย | เห็นผลทันที เพราะเป็นการเพิ่มปริมาณเนื้อเยื่อด้วยเจลฟิลเลอร์ และรอ 2-4 สัปดาห์เพื่อให้เกิดการคงตัว และผสานกับเนื้อเยื่อ |
จำนวนครั้งที่ฉีด | ฉีด 1-3 ครั้งตามอายุ ปริมาณต่อครั้งขึ้นกับอายุ โดยจะฉีดชั้นตื้นบริเวณใต้หนังแท้ | ผิวฟูขึ้นทันทีตามปริมาณที่ฉีด โดยเลือกเนื้อให้เหมาะสมกับบริเวณที่ฉีด โดยมากฉีดชั้นลึกที่ไขมัน หรือกระดูก |
ราคา | 10 CC ราคา 35,000 บาท | มีหลายราคา ตั้งแต่ 10, 000 – 30,000 บาท |
อยู่นานแค่ไหน | นานมากกว่า 25 เดือน เพราะเป็นคอลลาเจนจริงตามธรรมชาติ แต่มีการเสื่อมตัวตามอายุ | 6-18 เดือน ขึ้นกับรุ่นฟิลเลอร์ และบริเวณที่ฉีด รวมทั้งการดูแลตัวเองหลังฉีด |
ติดตามโปรโมชั่นอื่นๆที่นี่ dskclinic.com/promotion
Sculptra VS HA Filler เลือกฉีดส่วนไหนได้บ้าง?
Sculptra VS Dermal Fillers แม้ว่าจะสามารถฉีดได้ทั่วบริเวณใบหน้าเหมือนกัน แต่ก็ควรเลือกบริเวณที่ฉีดให้เหมาะสม เพื่อความปลอดภัย และให้เห็นได้ผลลัพธ์ดีที่สุด ส่วนแบบไหนเลือกฉีดส่วนไหนได้บ้าง มาดูกันได้เลย!
Sculptra | Filler |
---|---|
– ขมับ ช่วยแก้ปัญหาขมับตอบ ดึงใบหน้าขึ้น ทำให้ผิวกระชับขึ้น – หน้าแก้ม แก้ปัญหาแก้มตอบ เติมเต็มใบหน้า ทำให้กรอบหน้ายกกระชับ เรียบเนียน แข็งแรงอิ่มฟูขึ้น – แก้มตอบด้านข้าง ช่วยยกกระชับ กรอบหน้าชัดขึ้น – พัฒนาคุณภาพผิวในบริเวณอื่นๆที่ต้องการ | – ใต้ตา ช่วยเติมเต็มตาลึก ลดรอยดำคล้ำใต้ตา – ขมับ เติมเต็มให้ใบหน้าดูมีมิติสวยงามมากขึ้น เหมาะกับคนที่มีโหนกแก้มสูง หรือขมับตอบ – หน้าแก้ม เหมาะกับคนที่มีการทรุดของกระดูกหน้าแก้มทำให้หน้าแก้มแบน หย่อนคล้อนขาดมิติ – ร่องแก้ม เติมเต็มร่องแก้มที่ลึกให้ดูตื้นขึ้น ยกกระชับขึ้น หน้าดูเด็กลง – ริมฝีปาก เพิ่มความอวบอิ่มให้ริมฝีปาก แก้ปากเหี่ยว ยกมุมปาก จัดให้ปากเป็นทรงสวยขึ้น – คาง เพิ่มคาง ปรับรูปหน้าให้ดูยาวขึ้น หน้าดูเรียว และเล็กลง |
Sculptra VS HA Filler เหมาะกับใคร
สำหรับใครที่กำลังสงสัยว่าระหว่าง Filler VS Sculptra ควรเลือกฉีดตัวไหนดีจึงจะเหมาะสมกับปัญหา สารแต่ละตัวเหมาะกับใครบ้าง หมอได้สรุปมาให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ดังนี้
Sculptra | Filler |
---|---|
– ปัญหาผิวหย่อนคล้อย – ผิวไม่กระชับ – ผิวขาดความยืดหยุ่น ผิวย้วย ไม่คืนตัว-ปัญหาริ้วรอย ร่องลึก – ปัญหาหลุมสิว *ต้องทำร่วมกับการตัดพังผืดหลุมสิว (Subscision) เท่านั้น – แก้ไขปัญหาโครงสร้างผิวจากภายใน – เพิ่มความแข็งแรงให้ผิว – ผลลัพธ์ยาวนาน ไม่ต้องการฉีดซ้ำบ่อย | – ปัญหาผิวหย่อนคล้อย – ผู้ที่ต้องการยกกระชับ – ร่องแก้ม ร่องน้ำหมากลึก – ริ้วรอยเป็นร่องลึก เห็นได้ชัดเจน – ใต้ตาลึก ตาคล้ำ ใต้ตาดำ – เติมเต็มส่วนต่างๆ บนใบหน้าให้อิ่มฟู – ปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนดูมีมิติ – ผลลัพธ์หลังทำทันที- มีปัญหากระดูกโครงหน้ากร่อน ทรุดตัวตามวัย |
Sculptra VS HA Filler เลือกทำตัวไหนปลอดภัยกว่า?
หากจะให้เปรียบเทียบว่า Sculptra VS HA Filler ตัวไหนมีความปลอดภัยมากกว่ากันนั้น ต้องบอกเลยว่าคงไม่สามารถเทียบกันได้ เนื่องจากทั้งสองประเภทมีหลักการทำงานที่ไม่เหมือนกัน
Sculptra
Sculptra แม้ว่าในวงการศัลยกรรมความงามในประเทศไทย อาจจะเคยได้ยินเกี่ยวกับสารตัวนี้มาไม่นาน แต่ Sculptra ถูกนำมาใช้ในวงการแพทย์เพื่อกระตุ้นคอลลาเจนในต่างประเทศมานานแล้ว จนได้รับการรับรองจากองค์การอาหาร และยาของประเทศสหรัฐอเมริกา (US.FDA) รวมทั้งมีงานวิจัยมากมายที่ยืนยันถึงประสิทธิภาพ ผลลัพธ์ทางการกระตุ้นคอลลาเจน และความปลอดภัย เพราะเมื่อฉีดเข้าไปในร่างกายแล้ว ตัวยาจะสลายตัวได้เองตามธรรมชาติโดยไม่มีสารตกค้าง จึงสามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัย
HA Filler
ในส่วนของฟิลเลอร์นั้น จะเห็นว่าในท้องตลาดมีอยู่หลายประเภทด้วยกัน แต่ก็มีฟิลเลอร์เพียงชนิดเดียวที่ผ่านการรับรองด้านความปลอดภัยในการนำมาใช้งานจาก US FDA และในประเทศไทย นั่นก็คือ Hyaluronic Acid หรือ HA Filler เป็นสารที่สามารถสลายตัวได้เอง เพราะเป็นสารที่ปกติร่างกายมีการผลิตขึ้นมาเองตามธรรมชาติอยู่แล้ว จึงมีโอกาสในการแพ้ค่อนข้างน้อย
สรุปเลือกทำตัวไหนปลอดภัยกว่า?
จะเห็นได้ว่าทั้ง Sculptra หรือ HA Filler ต่างก็ได้รับการยอมรับในวงการแพทย์ว่ามีความปลอดภัย แต่ว่ายิ่งเป็นที่นิยม และมีความต้องการใช้สูง ก็มีการผลิตของปลอม สินค้าไม่มีคุณภาพ ออกมามากมาย ซึ่งการฉีดสารแปลกปลอมเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายก่อให้เกิดอันตรายอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นอาการแพ้ บวมแดง อักเสบ ไหลไปมา ไม่คงรูป ไม่สลายตัว รวมทั้งไม่ได้ผลลัพธ์ตามต้องการ ทำให้เสียเงินฟรีได้
ดังนั้น เพื่อความมั่นใจ และผลลัพธ์ที่ดี หมอแนะนำให้เลือกทำกับคลินิกที่มีมาตรฐาน มีความน่าเชื่อถือ ทำหัตถการโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ และความชำนาญเท่านั้น และปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกการรักษาที่เหมาะสมเพราะ Sculptra และ HA Filler ในการทำงานที่ต่างกัน เหมาะกับปัญหาที่ต่างกัน หรือในบางเคสอาจควรใช้ร่วมกันเพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
เปรียบเทียบ Sculptra VS HA Filler VS Radiesse
ข้อแตกต่าง ระหว่าง Radiesse VS HA Filler VS Sculptra นั้นอยู่ตรงที่ Sculptra และ Radiesse ต่างก็เป็นตัวยาในกลุ่ม Biostimulator ที่ช่วยสร้างเนื้อเยื่อ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน อีลาสติน และไฮยาลูโรนิคแอซิด ตามกระบวนการธรรมชาติของร่างกาย ซึ่งเป็นโครงสร้างค้ำจุนผิวขึ้นมาใหม่ ทั้งสองชนิดจึงให้ผลลัพธ์เป็นผิวที่เรียบเนียน ดูแน่น ผิวหนาขึ้น มีความอิ่มฟู กระชับ มีความยืดหยุ่น จึงคืนตัวได้ดีขึ้น ลดร่องริ้วรอยต่างๆ ให้ดูตื้นขึ้น ช่วยเรื่องผิวบาง ย้อนวัยผิวให้กลับมาดูเด็กลง และยังช่วยรักษาหลุมสิวได้ดี
ซึ่งจะแตกต่างจากฟิลเลอร์ตรงที่ฟิลเลอร์มีผลในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนน้อยการสร้างเนื้อใหม่ตามกระบวนการธรรมชาติของร่างกายน้อยเพียงช่วยเติมเต็มเนื้อเจลเพื่อทดแทนคอลลาเจนในส่วนที่หายไปเท่านั้น ในหัวข้อด้านบน หมอได้เปรียบเทียบให้ดูแล้วว่า Sculptra VS HA Filler เหมือน หรือต่างกันอย่างไร แล้วหากต้องการฟื้นฟูสุขภาพผิวด้วยวิธีการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติ ระหว่าง Sculptra และ Radiesse มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง หมอก็ได้สรุปมาให้แล้ว ดังนี้
Sculptra | HA Filler | Radiesse | |
---|---|---|---|
หลักการทำงาน | กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนผ่านกระบวนการอักเสบระดับเซลล์ โดยการกระตุ้นเซลล์ Fibroblast ผ่านตัวกลาง คือ เซลล์เม็ดเลือดขาว(Macrophage) | HA Filler มีโมเลกุลขนาดใหญ่ สามารถจับกับน้ำ และเติมเต็มร่องลึกใต้ชั้นผิว ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น เต่งตึง | กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนผ่านการกระตุ้นเซลล์ Fibroblast โดยตรง |
ส่วนประกอบหลัก | PLLA (Poly-L-Lactic-Acid) | HA Filler (Hyaluronic Acid) | CaHA (Calcium Hydroxylapatite) |
วิธีฉีด | ฉีดกระตุ้นทั่วหน้าโดยผสมน้ำเกลือ | ฉีดเข้าใต้ชั้นผิวหนัง | ฉีดได้ 2 แบบ คือฉีดเติมเต็มเฉพาะจุดเหมือนฟิลเลอร์ ไม่ต้องผสมน้ำเกลือ และการฉีดด้วยการผสมน้ำเกลือกระตุ้นคอลลาเจน |
จำนวนครั้งที่ต้องฉีด | ใช้ 1-2 ขวดต่อ 1 ครั้ง โดยฉีด 1-3 ครั้ง | ขึ้นอยู่กับปัญหาผิว โดยทั่วไป ฉีด 1-2 ครั้ง/ ปี | ใช้ 2 หลอดต่อ 1 ครั้ง โดยการฉีดจะเริ่มที่ 1-3 ครั้ง |
ระยะเวลาที่เริ่มเห็นผล | จะเริ่มเห็นผล ประมาณ 2-3 สัปดาห์ แต่ผลลัพธ์ที่ชัดเจนจะปรากฏขึ้น หลังจากฉีดไปแล้ว 3 เดือน | ทันทีหลังฉีด หากฉีดแทนกระดูก ก็สามารถตั้งทรงสูงได้มากกว่าเพราะเนื้อเจล | หากฉีดเหมือนฟิลเลอร์จะเห็นผลทันที หลังเจลสลาย จะมีการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาแทน แต่ถ้าหากฉีดกระตุ้นคอลลาเจน จะเห็นผลภายใน 1 เดือน |
ตำแหน่งที่ฉีด | บริเวณด้านข้าง และหน้าแก้ม เช่น บริเวณขมับ กราม กรอบหน้า หรือขากรรไกร | ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ใต้ตา ริมฝีปาก โหนกแก้ม ขมับ ปรับรูปหน้า | ฉีดได้ทั่วบริเวณใบหน้า ฉีดร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ใต้คางได้ และยังสามารถฉีดมือได้ |
ตำแหน่งที่ไม่แนะนำให้ฉีด | หน้าผาก จมูก | ||
อยู่นานแค่ไหน | นานมากกว่า 25 เดือน เพราะเป็นคอลลาเจนจริงตามธรรมชาติ แต่มีการเสื่อมตัวตามอายุ | 10-12 เดือน จะสลายตัวไปเองตามธรรมชาติ | 12-18 เดือน แต่อาจอยู่ได้นานกว่านั้นหากมีการดูแลอย่างเหมาะสม เพราะเป็นคอลลาเจนจริงที่สร้างขึ้น |
ส่วนผลลัพธ์เรื่องการกระตุ้นคอลลาเจนแบบไหนดีกว่ากันนั้น ยังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจน แต่ก็มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า Sculptra อาจให้ผลในการกระตุ้นคอลลาเจนได้ดีกว่า ในขณะที่ Radiesse ให้ผลลัพธ์ในการกระตุ้นอีลาสตินได้มากกว่า อย่างไรก็ตาม ทั้งสองวิธีสามารถทำควบคู่กันได้ และทำควบคู่กับการฉีดฟิลเลอร์ได้ด้วย แต่ Radiesse VS Filler VS Sculptra ต้องทำคนละตำแหน่งกัน หรือหากต้องการทำในตำแหน่งเดียว ก็ต้องทิ้งระยะไปก่อนอย่างน้อย 1 เดือน จึงจะทำซ้ำได้อีก
ฉีด Sculptra และ Filler ที่ DSK Clinic ดีกว่าที่อื่นอย่างไร
ไม่ว่าจะเป็นยาประเภทไหน เทคนิคการฉีดเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะแม้ใช้ยาแท้ แต่หากขาดความแม่นยำ วางยาผิดจุด ผิดตำแหน่ง ผิดความลึก ขาดการวิเคราะห์และเทคนิคที่ดี ก็อาจทำให้ไม่ได้ผลลัพธ์ตามต้องการ ทั้ง Sculptra, Filler และ Radiesse เป็นยาที่อาศัยความแม่นยำสูง ผลลัพธ์ขึ้นกับเทคนิคเป็นหลัก
ที่ DSK clinic เรารวบรวมและพัฒนาทีมแพทย์ที่ ชำนาญการด้านยกกระชับ ฟิลเลอร์ และการปรับรูปหน้า อย่างต่อเนื่อง เราออกแบบการรักษาเฉพาะบุคคล รักษาแบบตรงจุด ผสานเทคนิคการวิเคราะห์ปัญหา และการวางแผนการรักษาโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
วิเคราะห์ใบหน้า
วิเคราะห์ใบหน้าอย่างละเอียด ฉีดอย่างแม่นยำ เลือกยาเหมาะสม ออกแบบเทคนิคฉีดแม่นยำ กระดูกชั้นลึก ชั้นกลาง และชั้นตื้นตามสาเหตุ เพื่อความเป็นธรรมชาติ
เทคนิคเฉพาะ
เทคนิค ABI Technique เฉพาะ DSK เน้นข้าใจสาเหตุของปัญหาลึกถึงระดับกายวิภาค เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ ดูดีอย่างธรรมชาติ โดยใช้ยาน้อยกว่า แต่ผลออกมาสวยที่สุด
Advance CMS
เทคนิค Advance CMS (Custom Multi-Direction Simulation)เทคนิคเฉพาะที่ DSK ฉีดแบบปล่อยยา กระตุ้นหลายทิศทาง แก้ปัญหาเฉพาะบุคคล ปรับเทคนิคตามปัญหา
นอกจากนี้เรายังมีประสบการณ์ระดับประเทศ ทีมแพทย์มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญได้รับการไว้วางใจขจากคนไข้ ได้รับ รางวัลอันดับ 1 คลินิกที่มีประสบการณ์ฉีด Sculptra สูงสุด และ 1 ใน 10 คลินิกที่มีประสบการณ์ฉีดแบรนด์ฟิลเลอร์ชั้นนำสูงสุด เป็นเพียงไม่กี่คลินิกผ่านการพัฒนาเทคนิคการฉีดอย่างเข้มข้นทั้งจาก Global และ Asia Pacific Trainer จึงเป็นการรวมเทคนิคจากทั่วโลกประยุกต์เข้ากับเทคนิคของทีมแพทย์ DSK เพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
รีวิวการทำ Sculptra และ Filler ที่ DSK Clinic
Sculptra review
Filler Review
* ใช้เป็นตัวอย่างผลจากการเข้ารับการรักษาพยาบาลสําหรับผู้ป่วยเฉพาะรา
* ได้รับความยินยอมจากคนไข้ให้ใช้ภาพแล้ว
ช่องทางการติดต่อ DSK Clinic
DSK Clinic มีทีมแพทย์คอยแนะนำ และให้คำปรึกษาฟรี แอดไลน์ปรึกษา หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้
Facebook: https://www.facebook.com/dsk.clinic/
Instagram: https://www.instagram.com/dsk.clinic/
YouTube: https://www.youtube.com/@dskclinic
TikTok: https://www.tiktok.com/@dskclinic
ติดตามโปรโมชั่นอื่นๆที่นี่
สรุป
Sculptra VS Filler ต่างก็เป็นหัตถการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยย้อนคืนผิวเด็กให้กลับมา ให้ผลช่วยเติมเต็มผิวให้อิ่มฟู ยกกระชับ มีความเรียบเนียน ลดร่องริ้วรอยต่างๆ ให้ดูตื้นขึ้น ข้อแตกต่างของ Sculptra และ Filler ที่เห็นได้ชัดเจนคือ Sculptra จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นมาเองตามกระบวนการธรรมชาติ ส่วนฟิลเลอร์ช่วยเติมเต็มเพื่อทดแทนในส่วนที่หายไปเท่านั้น
นอกจากนี้ ยังมีข้อแตกต่างในเรื่องของสารที่นำมาใช้ หลักการทำงาน บริเวณที่ฉีด ระยะเวลาในการแสดงผลลัพธ์หลังฉีด ระยะเวลาที่ผลลัพธ์จะอยู่ได้ รวมไปถึงราคาค่าทำหัตถการซึ่ง แต่ละวิธีต่างก็มีจุดเด่นในการช่วยแก้ปัญหาที่แตกต่างกัน ดังนั้น การจะเลือกรักษาด้วยวิธีไหนนั้น ก็ต้องเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมกับปัญหาทั้งนี้ ต้องให้แพทย์เป็นผู้วิเคราะห์สาเหตุ จะได้เลือกวิธีการรักษาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม แก้ไขปัญหาได้ตรงจุด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดนั่นเอง
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Sculptra VS Filler (FAQ)
เพื่อให้เข้าใจเกี่ยวกับ Sculptra VS Filler มากขึ้น หมอได้รวบรวมเอาคำถามที่พบบ่อย พร้อมคำตอบมาคลายข้อสงสัยมาไว้ให้แล้ว ดังนี้
ฉีด Sculptra กับ HA Filler พร้อมกันได้ไหม?
สามารถฉีดวันเดียวกันได้ เพราะการฉีด Sculptra และ HA Filler เป็นการฉีดคนละชั้นของโครงสร้างใบหน้า ยกตัวอย่างเช่น ฉีด Sculptra ที่ขมับ และฉีด HA Filler อีกบริเวณหนึ่ง หรือการฉีดบริเวณเดียวกัน แต่คนละ Layer ของผิว เช่น ฉีด Filler ในชั้นลึก แต่ฉีด Sculptra ในชั้นตื้น เป็นต้น
มีบริเวณไหนที่ Sculptra รักษาได้ แต่ Filler รักษาไม่ได้?
Sculptra สามารถฉีดรักษาได้ทั่วใบหน้า ยกเว้นบางบริเวณที่ไม่สามารถรักษาได้ด้วย Sculptra ได้แก่ บริเวณริมฝีปาก หน้าผาก และบริเวณใกล้ดวงตา
Sculptra รักษาได้ถาวรหรือไม่?
การรักษาด้วย Sculptra ให้ผลที่ยาวนาน แต่ ไม่ถาวร เนื่องจากคอลลาเจนที่ Sculptra สร้าง ก็เหมือนคอลลาเจน ตามธรรมชาติของร่างกาย ที่ค่อยๆเสื่อมไปตามอายุ พูดได้ว่า Sculptra กระตุ้นคอลลาเจนที่เหมือนกับในธรรมชาติ ผลลัพธ์จึงอยู่ได้นาน แต่คอลลาเจนนั้นก็ค่อยเสื่อมไปตามอายุเช่นเดียวกัน ไม่เหมือนฟิลเลอร์ที่ผลลัพธ์ลดลงจากการที่เนื้อเจลค่อยๆสลายไป โดยปกติจะคงผลลัพธ์นานมากกว่า 25 เดือน เพราะเป็นคอลลาเจนจริงตามธรรมชาติ
Sculptra และ Filler ไม่เหมาะกับใคร?
Sculptra ไม่เหมาะกับใครบ้าง?
- ผู้มีอายุน้อยกว่า 18 ปี
- มีประวัติแพ้ PLLA
- สตรีตั้งครรภ์ และให้นมบุตร
- ผู้ที่กินยากดภูมิคุ้มกัน
Filler ไม่เหมาะกับใครบ้าง?
- ผู้ที่มีอาการของโรคผิวหนังอักเสบ หรือติดเชื้อ มีสิวอักเสบ เป็นผื่น หรือลมพิษ
- ผู้ที่มีภาวะเลือดออกไม่หยุด หรือมีภาวะเลือดไหลหยุดยาก
- ผู้ที่มีอาการป่วยเกี่ยวกับหลอดเลือด ข้อต่อ หรือเส้นเอ็นในกรณีที่ฉีดฟิลเลอร์บริเวณมือ
บทความที่เกี่ยวข้อง
- Sculptra คืออะไร ? กระตุ้นคอลลาเจนได้อย่างไร
- อัปเดต Sculptra ข้อมูลล่าสุดปี 2023 10 ประเด็น
- รีวิว Sculptra ผลลัพธ์ ก่อน-หลังฉีด
- Sculptra ดีจริงไหม ฉีดที่ไหนดี รวมเรื่องต้องรู้ก่อนฉีด ฉบับอัพเดต 2024
- Sculptra VS Radiesse เทียบคนละหมัด ตัวท็อปหน้าเด็ก 2 ค่ายดัง
- ฉีดฟิลเลอร์ คือ? มีแบบไหนบ้าง? เลือกคลินิกอย่างไรให้เห็นผลธรรมชาติ