- Blog
- Custom Skin Quality
- July 30, 2021
รวมทุกสิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ “เลเซอร์รอยสิว”
รวมทุกสิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ “เลเซอร์รอยสิว”
เลเซอร์คืออะไร? ทำงานอย่างไร?
“เลเซอร์” (LASER) เป็นตัวย่อของ Light Amplification by the Stimulated Emission of Radiation ในทางการแพทย์หมายถึง การใช้ “พลังงานแสง” ในการรักษา หรือทำลายวัตถุใดวัตถุหนึ่งอย่างเฉพาะเจาะจง
ยกตัวอย่างง่าย ๆ หากเรามีกระดาษใบหนึ่งที่แต้มด้วยสีดำที่ลบด้วยยางลบไม่ออก เราจะต้องทำให้หมึกนั้นหายไปโดยที่กระดาษไม่เสียหาย นั่นคือ concept ของเลเซอร์ ซึ่งก็คือการทำลายสิ่งที่เราไม่ต้องการให้หายไปโดยไม่สร้างความเสียหายต่อโครงสร้างอื่น ๆ ข้างเคียง
ตัวอย่าง
- เคสลบรอยสัก เลเซอร์สามารถทำลายเฉพาะหมึกรอยสัก ทำให้รอยสักดูจางลงได้ ในขณะที่สมัยก่อนอาจจะต้องผ่าตัดผิวหนังที่มีรอยสักออก หรือลอกผิวบริเวณนั้นออก ทำให้ผิวบริเวณนั้นอาจได้รับความเสียหายไปด้วย
- เคสลบปานแดงในเด็ก ปานแดงเป็นความผิดปกติของหลอดเลือด เลเซอร์สามารถทำลายหลอดเลือดที่ผิดปกติโดยไม่ทำลายผิวหนังด้านบน และไม่จำเป็นต้องผ่าตัด
ภาพนี้แสดง absorption spectrum ของวัตถุต่างๆในผิวยกตัวอย่างเช่น melanin เส้นสีเขียว จะดูดซับแสงช่วงคลื่นต่ำได้ดี แต่ในความเป็นเรามีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องพิจารณายกตัวอย่างเช่น ช่วงคลื่นที่ใช้จะต้องเป็นช่วงที่วัตถุที่เราต้องการทำลาย ดูดได้ดี แต่วัตถุข้างเคียงดูดได้ไม่ดี และโดยปกติช่วงคลื่นที่มากกว่าจะลงลึกกว่า ดังนั้นหากวัตถุที่เราต้องการอยู่ลึก เราก็ควรเลือกช่วงคลื่นที่ลึกขึ้นเป็นต้น
ทำไมเรายิงเลเซอร์ไปแล้วผิวหนังหรือเส้นเลือดเราไม่เป็นอะไรล่ะ?
นั่นก็เพราะว่า “วัตถุแต่ละอย่างมีคุณสมบัติในการดูดซับแสงที่ไม่เหมือนกัน” ดังนั้นช่วงความยาวคลื่นที่ใช้จะต้องเป็นช่วงที่วัตถุที่เราต้องการทำลายสามารถดูดซับได้ดี แต่วัตถุข้างเคียงดูดซับได้ไม่ดี
จากภาพจะเห็น Absorption Spectrum ของวัตถุต่าง ๆ เช่น เม็ดสีผิว (Melanin) สามารถดูดซับแสงช่วงความยาวคลื่นต่ำได้ดี ขณะที่เม็ดเลือดแดงดูดซับำได้ไม่ดี เลเซอร์ที่มีช่วงความยาวคลื่นต่ำจึงเหมาะกับรอยโรคที่เกิดจากความผิดปกติของเม็ดสี เพราะสามารถทำลายเม็ดสีได้โดยไม่ทำลายเส้นเลือดนั่นเอง
ดังนั้นสิ่งที่กำหนดความจำเพาะในการทำลายวัตถุต่าง ๆ ของเลเซอร์ก็คือช่วงความยาวคลื่น (Wavelength) มีหน่วยเป็นนาโนเมตร และระยะเวลาการปล่อยแสง (Pulse Duration) โดยระยะเวลาที่สั้นลงจะจำเพาะต่อการทำลายวัตถุที่เล็กลง
นอกจากนี้หากวัตถุที่เราต้องการทำลายอยู่ลึก เราก็ควรเลือกช่วงความยาวคลื่นที่ลึกขึ้นด้วย
เลเซอร์มีกี่ประเภท
เลเซอร์ที่ใช้ในวงการแพทย์ผิวหนัง แบ่งเป็นกลุ่มตามความจำเพาะเจาะจงต่อวัตถุที่เราอยากทำลาย โดยในแต่ละกลุ่มจะมี Wavelength และ Pulse Duration ที่จำเพาะต่อวัตถุนั้น ๆ ได้แก่
Pigment Specific Laser: เลเซอร์ที่จำเพาะต่อเม็ดสี เช่น Q-Switch NdYAG Laser, Picosecond Laser
Vascular Specific Laser: เลเซอร์ที่มีความจำเพาะต่อเส้นเลือด เช่น Pulse Dye Laser
Hair Removal Laser: เลเซอร์กำจัดขน เช่น Long pulse NdYAG Laser, Diode Laser
Resurfacing Laser: เลเซอร์ปรับเปลี่ยนสภาพผิว ความเรียบเนียนของผิว เช่น Erbium YAG Laser, CO2 Laser
ในวันนี้เราจะพูดกันถึงเลเซอร์รอยสิว ดังนั้นกลุ่มที่เราจะพูดถึงคือ
Pigment Specific Laser สำหรับรอยดำ
และ Vascular specific Laser สำหรับรอยแดง
รอยสิวแต่ละประเภทต้องใช้เลเซอร์ต่างกันหรือไม่?
รอยสิว แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
- รอยดำ (Post-inflammatory Hyperpigmentation) เกิดจากกระบวนการอักเสบกระตุ้นให้เซลล์สร้างเม็ดสีผิว (Melanocyte) ผลิตเม็ดสีผิว (Melanin) ออกมามากเกินไป
- รอยแดง (Post-acne Erythema or Redness) เกิดจากเส้นเลือดฝอยขยายตัวในบริเวณผิวหนังที่เคยเกิดการอักเสบ
เลเซอร์ 1 ชนิดมี 1 ช่วงคลื่น เหมาะกับการทำลายวัตถุเป้าหมาย หรือปัญหาที่เฉพาะเจาะจง 1 อย่าง ดังนั้นรอยสิวที่แตกต่างกัน จึงต้องอาศัยเลเซอร์ต่างชนิดกัน จำเพาะเจาะจงต่อปัญหาที่แตกต่างกัน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- สำหรับรอยดำ เลเซอร์ที่เหมาะสมเป็นเลเซอร์กลุ่ม Pigment-Specific Laser ซึ่งเป็นเลเซอร์ที่ควรมี Pulse Duration สั้น เพราะเมลานินมีขนาดเล็ก ดังนั้น Pulse Duration ที่สั้น จะเข้าไปจัดการเมลานินได้ดีโดยที่พลังงานไม่แผ่ออกไปสร้างความเสียหายบริเวณอื่น ช่วงคลื่นที่เหมาะสมสำหรับผิวคนไทยคือ ช่วงคลื่น 1064 nm เลเซอร์ในกลุ่มนี้ได้แก่ Q-switch ndYAG Laser และ Picosecond Laser
- สำหรับรอยแดง เลเซอร์ที่เหมาะสมเป็นเลเซอร์ที่จับฮีโมโกลบินในหลอดเลือดแดงได้ดี จากงานวิจัยพบว่าเลเซอร์ที่ได้ผลดี ได้แก่ Pulse Dye Laser, Nanosecond or Picosecond 585 or 595 nm
เลเซอร์รอยสิวที่เหมาะกับรอยดำ
Picosecond laser ถือเป็นเลเซอร์ที่ปฏิวัติวงการเลเซอร์ผิวหนัง และเป็นเลเซอร์ที่ให้ผลลัพธ์ในการรักษารอยดำที่ดีที่สุดในตอนนี้ ด้วยความที่ระยะเวลาในการปล่อยพลังงาน (Pulse Duration) ของเลเซอร์ชนิดนี้สั้นมากถึง 1 ในล้านล้านวินาที ทำให้เม็ดสีเกิดการแตกตัวอย่างละเอียดมากขึ้นหลายเท่าเมื่อเทียบกับเลเซอร์แบบเดิม ส่งผลให้โรคที่เกิดจากความผิดปกติของเม็ดสีต่าง ๆ รวมถึงรอยดำจากสิวจางลงได้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบันพบว่า Picosecond Laser ยังสามารถลดเลือนรอยแดง หลุมสิว และปัญหาผิวไม่เรียบเนียนได้ด้วย
จากประสบการณ์ของหมอ Picosecond Laser ให้ผลลัพธ์ที่ดีจนเกิดคาด ทำให้รอยดำจางเร็วที่สุด และกอบกู้หน้าใสเร็วมากเมื่อเทียบกับเลเซอร์ตัวอื่น ๆ อาจบอกได้ว่าการทำ Picosecond Laser 1 ครั้งนั้นได้ผลลัพธ์มากกว่าทำเลเซอร์ตัวอื่น ๆ หลายครั้งซะอีก แต่อย่างไรก็ตามปัจจุบัน Picosecond Laser ของปลอม หรือเครื่องที่ไม่ได้มาตรฐานมีเยอะมาก สำหรับที่ DSK Clinic เราเลือกใช้ PicoPlus ซึ่งหมอพิจารณาว่าเป็นเครื่อง Picsecond Laser ที่ดีที่สุดในปัจจุบัน หมอแนะนำให้อ่านบทความเรื่อง Picosecond laser ก่อนตัดสินใจครับ
ปฏิวัติวงการผิวหนัง ด้วย Picosecond Laser
Q-Switch Nd:YAG ถือเป็นมาตรฐานในการรักษารอยดำ หรือโรคทางเม็ดสีมาอย่างยาวนาน เนื่องจากมี Pulse duration สั้นทำให้เหมาะกับการยิงเม็ดสี แต่ผลลัพธ์จะด้อยกว่า Picosecond Laser
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าระวังคือ ไม่ใช่ว่า Q-Switch Nd:YAG ทุกชนิดสามารถใช้รักษารอยดำจากสิวได้ เพราะ Q-Switch Nd:YAG เป็นเพียงชื่อระบบเลเซอร์ที่มีมาเป็น 10 ปีแล้ว โดย Q-Switch Nd:YAG ที่รักษารอยดำจากสิวได้จะต้องเป็นเครื่องรุ่นใหม่ ๆ ที่มีระบบการปล่อยพลังงานแบบสม่ำเสมอ (Top Hat Beam Profile) มี Spot Size ที่ใหญ่ และได้มาตรฐานมากพอ ตัวอย่างเครื่องกลุ่มนี้ เช่น SpectraXT และ Revlite เป็นต้น ส่วนเครื่อง Q-Switch Nd:YAG จำนวนมากในท้องตลาดมักเป็นเครื่องที่ปล่อยพลังงานไม่สม่ำเสมอ ทำให้อาจเกิดรอยดำที่มากขึ้นหรือไม่ได้ผล เพราะพลังงานลงไม่ลึกมากพอ
IPL จริง ๆ แล้ว IPL โดยนิยามไม่ถือเป็นเลเซอร์ เพราะแสงถูกปล่อยออกมามีหลายช่วงคลื่น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า IPL ไม่ดีเสมอไป เพราะข้อดีของการที่ลำแสงออกมาหลายช่วงคลื่นก็คือ เราจะสามารถรักษาทั้งรอยแดงและรอยดำในครั้งเดียว โดยมีข้อแม้ว่า IPL นั้นต้องเป็น IPL ที่ดีพอและมีงานวิจัยรองรับเท่านั้น ไม่นับ IPL แบบ Homeuse ทั้งหลายที่พลังงานไม่สูงพอ ไม่นับ IPL ที่ไม่ได้มาตรฐานที่พบในคลินิกจำนวนมาก ปัจจุบันพบว่า IPL ที่ใช้ในเมืองไทยไม่ค่อยได้มาตรฐาน
แน่นอนว่า IPL ย่อมมีประสิทธิภาพสู้เลเซอร์ตัวอื่นที่จำเพาะต่อรอยดำหรือรอยแดงอย่างเดียวไม่ได้ เพราะเลเซอร์เหล่านั้นจะจำเพาะเจาะจงต่อปัญหามากกว่า เช่น SpectraXT แต่ SpectraXT ก็มีข้อเสียตรงที่ช่วยเรื่องรอยแดงไม่ค่อยได้ อาจต้องใช้เลเซอร์อื่นช่วยเสริมประสิทธิภาพ
เลเซอร์รอยสิวที่เหมาะกับรอยแดง
1. Pulsed Dye Laser เช่น V-beam หรือ Cynergy
Pulsed Dye Laser ถือเป็นเลเซอร์มาตรฐานที่ใช้ในการรักษารอยแดงจากสิวมาอย่างยาวนาน หลักการคือการใช้ความยาวคลื่นช่วง 585 และ 595 nm ที่ถูกดูดซับโดยฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงได้ดี ส่งพลังงานถึงเส้นเลือด ทำให้เส้นเลือดบริเวณนั้นโดนทำลายไป รอยแดงจึงสามารถจางลงได้
2. Nanosecond or Picosecond laser (585 และ 595 nm)
เป็นเลเซอร์ความยาวคลื่นช่วง 585 และ 595 nm เช่นเดียวกับ Pulse Dye Laser แต่ปล่อยออกมาด้วยความเร็วระดับนาโนวินาทีหรือพิโควินาที พบว่าผลการรักษารอยแดงไม่ต่างกับ Pulse Dye Laser มีงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารแพทย์ผิวหนังระดับนานาชาติ รวมถึงงานวิจัยจากภาควิชาตจวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากประสบการณ์ของหมอ หมอพบว่าเมื่อยิงด้วยค่าพลังงานที่ถูกต้อง ผลลัพธ์ไม่ต่างจาก Pulse Dye แถมคนไข้จำนวนมากยังพบว่ารอยแดงจางลงมากกว่า Pulse Dye Laser
เลเซอร์ถูกหรือแพงแตกต่างกันอย่างไร
แม้จะเป็นเลเซอร์กลุ่มเดียวกัน เแต่ราคาของเครื่องเลเซอร์อาจต่างกันเป็น 100 เท่า เช่น Q-switch NdYAG รุ่นเก่าจากจีนอาจมีราคาเพียง 50,000 บาท แต่ Q-switch NdYAG รุ่นใหม่ที่มีมาตรฐานอาจมีราคาสูงถึง 5 ล้านบาท สาเหตุที่เลเซอร์แต่ละเครื่องมีราคาต่างกันมากก็เป็นเพราะมาตรฐานการผลิต รวมถึงสเปคของเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นความสม่ำเสมอของคลื่นแสง ระดับพลังงาน ระยะเวลาปล่อยแสง ทำให้เลเซอร์ที่มีชื่อคล้ายกันอาจจะไม่มีอะไรเหมือนกันเลยก็ได้
ดังนั้นการเลือกเลเซอร์จากราคาจึงไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง เพราะนอกจากจะไม่ไ่ด้ผลตามที่ต้องการ ก็อาจมีโอกาสผลข้างเคียงได้มากกว่า ดังนั้นจึงควรเลือกประเภทของเลเซอร์ให้ตรงกับปัญหาจะดีที่สุด
รอยแบบไหน เลือกเลเซอร์แบบไหนดี?
- รอยดำ Picosecond Laser หรือ Q-switch NdYAG ที่ได้มาตรฐาน เช่น SpectraXT
- รอยแดง Pulsed Dye Laser, Nanosecond และ Picosecond laser (585, 595 nm) เช่น V-Laser
- รอยดำ + รอยแดง
- ทางเลือกที่ 1 Picosecond Laser
- ทางเลือกที่ 2 ใช้เลเซอร์กลุ่มรอยดำ และรอยแดงร่วมกัน
- ทางเลือกที่ 3 IPL ได้ผลน้อยที่สุด และไม่นับรวมกลุ่ม Homeuse หรือเครื่องที่ไม่ได้มาตรฐานที่ผลการรักษาไม่ชัดเจน
เลือกเลเซอร์รอยสิวที่ไหน อย่างไร ให้ได้ผลจริง
เลือกคลินิกที่ใช้เลเซอร์ตรงกับวัตถุประสงค์ และชนิดของปัญหา
เช่น หากคุณเป็นรอยดำ เลเซอร์ที่เหมาะสมก็ควรเป็น Picosecond Laser หรือ Q-switch NdYAG ที่ได้มาตรฐาน เช่น SpectraXT
เลือกคลินิกที่ใช้เครื่องมือที่ได้มาตรฐาน
โดยปกติหมอแนะนำให้เลือกใช้เฉพาะเครื่องที่ได้รับมาตรฐาน USFDA แสดงถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพ
เลือกคลินิกที่มีแพทย์เฉพาะทางที่ผ่านการอบรมด้านเลเซอร์มาโดยตรง
เลเซอร์เป็นเครื่องมือที่ต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์ ตั้งแต่การเลือกเครื่องมือที่ถูกต้อง การตั้งค่าพลังงาน และเทคนิคการยิงที่เหมาะสมและพอดี เพื่อให้เกิดผลลัพธ์สูงสุด ดังนั้นแพทย์ทั่วไป หรือแม้กระทั่งแพทย์ผิวหนังที่ไม่ได้ผ่านการอบรมเฉพาะก็อาจไม่สามารถใช้เลเซอร์อย่างมีประสิทธิภาพได้
ทำไมควรเลือกทำเลเซอร์รอยสิวที่ DSK Clinic?
คลินิกและแพทย์เชี่ยวชาญด้านเลเซอร์โดยตรง
ที่ DSK เราเป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านเลเซอร์โดยตรง วางแผนการใช้เลเซอร์เพื่อการรักษารอยสิวอย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่การเลือกเครื่องมือที่ดีที่สุดและครอบคลุมรอยสิวทุกรูปแบบ การคัดเลือกแพทย์เฉพาะทางที่มีความรู้และผ่านการอบรมด้านเลเซอร์ผิวหนังโดยตรง การพัฒนาเทคนิคจำเพาะ เพื่อการรักษาที่ดีที่สุด
มาตรฐานเครื่องเลเซอร์ เลเซอร์ที่คลินิกใช้ทุกเครื่องเป็นเลเซอร์มาตรฐาน USFDA
ใช้เทคนิคการยิง และการตั้งค่าพลังงานที่จำเพาะในแต่ละบุคคล เพราะปัญหาของคนไข้แต่ละคนต่างกัน สภาพผิวแต่ละคนต่างกัน ดังนั้นที่ DSK Clinic เราจึงประเมินสภาพผิวและสภาพปัญหาของคนไข้แต่ละคนอย่างจำเพาะ และออกแบบการยิงเลเซอร์ที่แตกต่างกัน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์สูงสุด
ระบบการติดตามผลชัดเจน มีระบบการติดตามผล ถ่ายรูปก่อนหลังการรักษา และบันทึกค่าพลังงานอย่างชัดเจน เพื่อประโยชน์ในการปรับค่าพลังงานในการรักษาครั้งต่อไป