- Blog
- Custom Scar Planning
- May 7, 2021
ฝ้า กระ แตกต่างกันอย่างไร รักษายังไงให้จางลง

หมอปอร์เช่
นพ. สราวุธ เหล่ากิจรุ่งโรจน์
แพทย์ผู้ก่อตั้ง DSK Clinic

สารบัญ
คุณหมอขอสรุป ฝ้า กระ หายได้ไหม รักษายังไงให้เห็นผล
– ฝ้าและกระเป็นปัญหาผิวที่แตกต่างกัน โดยฝ้าเป็นปื้นสีน้ำตาลขนาดใหญ่ที่เกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสีทำงานผิดปกติ ในขณะที่กระเป็นจุดสีน้ำตาลเล็กๆ ที่เกิดจากการสะสมของเม็ดสีเมลานิน จึงต้องใช้วิธีการรักษาที่แตกต่างกัน – การรักษาฝ้าต้องทำแบบองค์รวม ทั้งการหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น การใช้ยาทาและยารับประทาน การผลัดเซลล์ผิว การใช้เลเซอร์ที่เหมาะสม โดยเฉพาะ Redtouch Pro และ Picosecond Laser – กระมี 4 ประเภท ได้แก่ กระตื้น กระแดด กระลึก และกระเนื้อ แต่ละประเภทต้องใช้วิธีการรักษาที่แตกต่างกัน เช่น กระตื้นและกระแดดใช้ Picosecond Laser หรือ Redtouch pro ส่วนกระเนื้อต้องใช้ CO2 Laser – การวินิจฉัยที่แม่นยำและการเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการรักษาที่ผิดวิธีอาจทำให้ปัญหาแย่ลง เช่น การใช้เลเซอร์ผิดประเภทกับฝ้าอาจทำให้ฝ้าเข้มขึ้นได้ – ที่ DSK Clinic มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และเครื่องมือมาตรฐาน USFDA พร้อมให้การวินิจฉัยและวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์การรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดและปลอดภัย |
ปัญหาเม็ดสีผิดปกติบนผิวหน้าเป็นปัญหาที่พบบ่อยในคนไทย คำถามยอดฮิตของคนไข้ก็คือ ฝ้า กระ รักษาอย่างไร? ปัญหานี้ค่อนข้างจะตอบยากนิดหน่อย เพราะ ฝ้าและกระนั้นรักษาไม่เหมือนกันเลย ตัวกระเองก็ยังจะแยกออกไปเป็นหลายๆ ประเภททำให้รายละเอียดในการรักษาค่อนข้างซับซ้อน วันนี้เลยอยากจะขอมาอธิบาย เรื่องฝ้า กระ ให้กระจ่างในบทความนี้ ไปอ่านกันเลย
วินิจฉัยฝ้า กระ ให้ถูกต้อง เพราะรักษาต่างกัน
เมื่อคนไข้มาด้วยปัญหารวม ๆ คือฝ้า กระ สิ่งที่หมอต้องทำคือ การวินิจฉัยให้ถูกต้อง เพราะกระและฝ้านั้นรักษาคนละแบบ หากรักษาผิดทิศทางก็อาจจะทำให้ปัญหาไม่หาย แถมยังแย่ลงอีก เช่น
- กระลึก กระตื้น กระแดด จะเน้นไปที่การใช้เลเซอร์ที่เฉพาะเจาะจงต่อเม็ดสี
- กระเนื้อ ใช้เลเซอร์ที่ทำลายเนื้อเยื่อ
- ฝ้า เนื่องจากไม่ได้ผิดปกติแค่ที่เม็ดสี แต่เซลล์สร้างเม็ดสียังทำงานมากเกินไป จึงจำเป็นต้องใช้ยาทา ยารับประทาน หรือเสริมการรักษาให้ดีขึ้นด้วยการผลัดเซลล์ผิวเก่าด้านบนออก หรือใช้เลเซอร์

ฝ้าคืออะไร?(Melasma)
ฝ้า (Melasma) มีลักษณะเป็นปื้นขนาดใหญ่สีน้ำตาล มักเกิดในบริเวณที่สมมาตร เช่น โหนกแก้มทั้งสองข้าง ดั้งจมูก เหนือริมฝีปาก หรือแนวขากรรไกรทั้งสองข้าง ฝ้ามีหลายชนิด ได้แก่ ฝ้าตื้น ฝ้าลึก และฝ้าเลือด ก็คือฝ้าที่มีเส้นเลือดเล็ก ๆ ผสมอยู่

ฝ้าเกิดจากอะไร?
ฝ้า เกิดจากเซลล์เม็ดสีทำงานมากผิดปกติ (Melanocyte Hyperfunction) โดยมีปัจจัยหลายชนิดเข้ามาเกี่ยวข้อง ปัจจัยที่ทราบในปัจจุบันได้แก่ พันธุกรรม ฮอร์โมนจากยาคุมกำเนิดหรือการตั้งครรภ์ แสงแดด และยาบางประเภท เช่น ยากันชัก

ฝ้ามีกี่ประเภท?
ฝ้าแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก โดยแต่ละประเภทมีความแตกต่างกันทั้งลักษณะที่ปรากฏและความลึกของเม็ดสี ซึ่งส่งผลต่อวิธีการรักษาที่แตกต่างกันด้วย
- ฝ้าตื้น : มีลักษณะเป็นปื้นสีน้ำตาลอ่อนบนผิวหนังชั้นบน เป็นฝ้าที่มีโอกาสรักษาให้จางลงได้ง่ายที่สุด เพราะตัวยาสามารถเข้าถึงเม็ดสีได้ง่าย
- ฝ้าลึก : มีลักษณะเป็นปื้นสีน้ำตาลเข้มกว่าฝ้าตื้น เนื่องจากเม็ดสีอยู่ในชั้นผิวหนังที่ลึกลงไป การรักษาจึงต้องใช้เวลานานกว่า และอาจต้องใช้การรักษาหลายวิธีร่วมกัน
- ฝ้าเลือด : เป็นฝ้าที่มีเส้นเลือดฝอยเล็กๆ ปะปนอยู่ร่วมกับปื้นฝ้า ทำให้มีสีออกม่วงแดง การรักษาจำเป็นต้องจัดการทั้งเม็ดสีและเส้นเลือดฝอยควบคู่กันไป จึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ฝ้ารักษาอย่างไร?
ถ้าพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ฝ้าไม่ใช่ความผิดปกติจากการมีเม็ดสีเยอะเท่านั้น แต่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ที่ผลิตเม็ดสีด้วย ดังนั้นการรักษาจึงไม่สามารถทำได้ด้วยการลอกฝ้าออกอย่างเดียว เพราะต่อให้ลอกฝ้าออกไป แต่เซลล์เม็ดสีก็จะสร้างเม็ดสีใหม่ขึ้นมาได้เหมือนเดิม หรืออาจจะมากกว่าเดิม การรักษาฝ้าจึงต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแบบเป็นขั้นตอนและเป็นระบบ เพื่อจัดการกับสาเหตุอย่างตรงจุด

1. หาและหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นฝ้า
พันธุกรรม ฮอร์โมน แสงแดด คือ 3 สิ่งที่อาจเป็นปัจจัยกระตุ้นฝ้า หรือกระตุ้นโรงงานสร้างเม็ดสีให้สร้างเม็ดสีมากผิดปกติจนเกิดฝ้าขึ้น มีรายละเอียดแตกต่างกันดังนี้
- พันธุกรรม : ไม่ใช่สิ่งที่เราสามารถแก้ไขได้ในปัจจุบัน
- ฮอร์โมน : หากแพทย์วินิจฉัยว่ายาเม็ดคุมกำเนิดมีผลต่อการเกิดฝ้า อาจแนะนำให้เปลี่ยนวิธีคุมกำเนิด เพื่อปรับระดับฮอร์โมน
- แสงแดด : เป็นปัจจัยกระตุ้นฝ้าที่สำคัญ และเป็นสิ่งที่คนเป็นฝ้าควรหลีกเลี่ยง เริ่มที่การป้องกันเชิงกายภาพ เช่น การใส่หมวก ถือร่ม การเดินหลบแดด เหมือนจะเป็นเรื่องง่าย ๆ แต่ต้องย้อนกลับมาถามว่า ทำได้ดีพอหรือยัง อีกสิ่งที่จำเป็นคือ การทากันแดด พบว่า คนไข้ 99% ทาผิดวิธี ทำให้ประสิทธิภาพในการกันแดดไม่ได้ผล เริ่มตั้งแต่การเลือกครีมกันแดดผิด ทาปริมาณผิด และความถี่ไม่เหมาะสม จนอาจทำให้ทาแต่เหมือนไม่ได้ทา

2. ใช้ตัวยาที่ช่วยลดการสร้างเม็ดสี
การรักษาฝ้าให้ได้ผลจำเป็นต้องใช้ยาที่ช่วยลดเม็ดสี และอาจใช้ยาหรือเครื่องสำอางหลายชนิดร่วมกัน แนะนำให้ใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพราะต้องอาศัยความรู้และความชำนาญในการปรับยาเพื่อให้ได้ผลและไม่กลับเป็นซ้ำ
ตัวยาที่ใช้ในการรักษาฝ้ามากที่สุดคือ Hydroquinone ซึ่งถือว่าเป็นมาตรฐาน และเป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูง แต่หากใช้อย่างผิดวิธี ก็อาจทำให้เกิดฝ้าถาวร จึงจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์

3. การรับประทานยา
ปัจจุบันมีแพทย์หลายคนสนับสนุนการใช้ Tranexamic acid ชนิดกินในการรักษาฝ้า เนื่องจากประสิทธิภาพสูง และมีผลข้างเคียงต่ำ
ปัจจุบันมีหลากหลายงานวิจัยขนาดที่น่าเชื่อถือออกมาสนับสนุนการใช้ยาดังกล่าวในการรักษาฝ้าเช่นกัน แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากแพทย์ต้องดูว่าผู้ป่วยแต่ละรายเหมาะสมกับการได้รับยาหรือไม่ มีข้อห้ามในการใช้ยาหรือไม่ และสมควรใช้ยามากน้อย หรือระยะเวลานานเพียงใด

4. การผลัดเซลล์ผิว (Chemical Peeling)
คือการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นกรดอ่อนบางชนิด เช่น Glycolic acid, Salicylic acid, Trichloroacetic acid หรือการใช้กรดหลายชนิดร่วมกัน โดยแพทย์จะเป็นผู้กำหนดชนิดและความเข้มข้นให้เหมาะสมกับแต่ละปัญหาผิวที่ต่างกัน พบว่าฝ้าตอบสนองต่อตัวยาเหล่านี้ได้ดี

5. การฉีดฝ้า
คือการฉีดยาที่ช่วยลดเม็ดสีเข้าไปในชั้นผิวหนัง เพื่อช่วยให้การสร้างเม็ดสีลดลง ป้องกันการเกิดฝ้าใหม่

6. เลเซอร์
เลเซอร์ถือเป็นปัญหาของการรักษาฝ้าในปัจจุบัน เนื่องจากคนไข้จำนวนมากคิดว่ายิงเลเซอร์ให้ฝ้าหลุดไป แล้วฝ้าจะหาย หลายครั้งคนไข้ก็เข้ามาหาหมอด้วยฝ้าที่เข้มขึ้นหลังเลเซอร์
เนื่องจากฝ้าเป็นความผิดปกติของโรงงานสร้างเม็ดสี ดังนั้นการยิงเลเซอร์ผิดชนิด ผิดเทคนิค อาจกระตุ้นให้ฝ้าเข้มขึ้นได้ ปัจจุบันเลเซอร์ที่มีงานวิจัยในการรักษาฝ้าสูงสุดคือ การใช้เทคนิค Low-Fluence Laser Toning ด้วยเลเซอร์กลุ่ม Picosecond Laser รวมถึงการใช้เลเซอร์ RedtouchPro
Picosecond Laser และ RedtouchPro Laser เป็นเลเซอร์ที่ DSK Clinic เลือกใช้ ผ่านการรับรองด้านการรักษาฝ้าจาก อย. สหรัฐอเมริกา (USFDA) ซึ่งถือเป็นมาตรฐานสูงสุดในการรับรองเครื่องเลเซอร์
Picosecond Laser นั้น จะมีจุดเด่นตรงที่ปล่อยพลังงานความเร็วระดับ 1 ในล้านล้านวินาที เข้าไปทำให้เกิดแรงกระแทกที่เม็ดสี และทำให้เม็ดสีแตกละเอียด ส่งผลให้ร่างกายกำจัดเม็ดสีได้รวดเร็วและมากกว่าเลเซอร์ตัวอื่นๆ ส่วน RedtouchPro Laser จะทำงานโดยการปล่อยแสงสีแดงในช่วงคลื่นที่สามารถจับเม็ดสีได้ ทำให้สามารถลดรอยดำ รอยแดง รวมถึงฝ้า และกระ พร้อมปรับผิวให้กระจ่างใสได้โดยไม่ทำให้เกิดการเจ็บตัว และไม่ต้องมี Downtime


ทั้งนี้ประสิทธิภาพในการรักษาฝ้ายังขึ้นกับการเลือกการรักษาที่เหมาะสมกับชนิดของฝ้าอีกด้วย โดยทั่วไปหากเป็นฝ้าตื้น อาจจางได้ด้วยการหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น ทาครีมกันแดด ทายา และการผลัดเซลล์ผิว แต่หากเป็นฝ้าลึก การใช้ยาทาอาจไม่เพียงพอ ทำให้ต้องใช้การกินยา เลเซอร์ หรือการฉีดฝ้าร่วมด้วย

กระคืออะไร
กระ คือ จุดสีน้ำตาลที่เกิดจากการสะสมของเม็ดสีเมลานินที่ผิดปกติ มักพบในบริเวณที่สัมผัสแสงแดดบ่อยๆ เช่น แก้ม จมูก หน้าผาก กระแต่ละชนิดมีลักษณะแตกต่างกัน บางชนิดเป็นจุดเล็กๆ สีน้ำตาลอ่อน บางชนิดเป็นปื้นใหญ่สีน้ำตาลเข้ม และบางชนิดอาจนูนขึ้นมาจากผิวหนัง การรักษากระจึงต้องเลือกวิธีให้เหมาะสมกับประเภทของกระ
กระมีกี่ชนิด แต่ละชนิดมีวิธีรักษาอย่างไร?
กระ แบ่งเป็น 4 ประเภท แต่ละประเภทมีลักษณะเฉพาะและต้องการวิธีการรักษาที่แตกต่างกัน การวินิจฉัยประเภทของกระให้ถูกต้องจึงมีความสำคัญมาก เพราะหากเลือกวิธีรักษาไม่เหมาะสม นอกจากจะไม่ได้ผลแล้ว ยังอาจทำให้กระเข้มขึ้น หรือเกิดปัญหาแทรกซ้อนตามมาได้

1. กระตื้น (Freckle)
มักเริ่มเป็นในวัยรุ่นถึงวัยทำงานตอนต้น มีลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลอ่อน ขอบเขตชัด ขนาด 2-4 มม. มักพบบริเวณที่สัมผัสแสงแดด เช่น แก้ม โหนกแก้ม สันจมูก
วิธีรักษากระตื้น
- ส่วนใหญ่รักษาด้วยยาไม่ได้ผล
- การรักษาต้องอาศัยเลเซอร์ที่จำเพาะต่อเม็ดสีชั้นตื้น เช่น Picosecond Laser หรือ Redtouch Pro Laser โดยจะต้องทำประมาณ 1 – 3 ครั้ง เพื่อผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพ

2. กระแดด (Solar lentigo)
มักเริ่มเป็นในวัยกลางคนถึงวัยสูงอายุ อาจเป็นจุดเล็ก หรือปื้นใหญ่ เรียบ ไม่นูน และขอบเขตชัด
วิธีรักษากระแดด
- ส่วนใหญ่รักษาด้วยยาไม่ได้ผล
- การรักษาต้องอาศัยเลเซอร์ที่จำเพาะต่อเม็ดสีชั้นตื้น เช่น Picosecond Laser หรือ Redtouch Pro Laser โดยจะต้องทำประมาณ 1 – 3 ครั้ง เพื่อผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพ


3. กระลึก (Nevus of Hori)
มักเริ่มเป็นในวัยกลางคนถึงวัยสูงอายุ อาจเป็นจุดเล็ก หรือปื้นใหญ่ เรียบ ไม่นูน และขอบเขตชัด
วิธีรักษากระลึก
- การรักษากระลึก ต้องอาศัยเลเซอร์ที่จำเพาะต่อเม็ดสีชั้นลึก เช่น Picosecond Laser โดยต้องอาศัยการรักษาหลายครั้ง ส่วนใหญ่ต้องรักษา 6-10 ครั้ง ห่างกันทุก 2 เดือน



4. กระเนื้อ (Seborrheic Keratosis)
กระเนื้อ แตกต่างจากกระตื้นและกระแดดที่เกิดจากเม็ดสีที่ผิดปกติ แต่กระตื้นเป็นกลุ่มเนื้องอกที่ไม่อันตราย มักเกิดในวัยกลางคนอายุประมาณ 50 ปีขึ้นไป แต่ก็อาจเกิดตั้งแต่วัยรุ่นได้
วิธีรักษากระเนื้อ
- เนื่องจากกระเนื้อไม่ได้เกิดจากเม็ดสีที่ผิดปกติ การรักษาจึงไม่ได้ใช้เลเซอร์ที่จำเพาะต่อเม็ดสี แต่จะใช้เลเซอร์ที่ทำลายเนื้อเยื่อ เช่น CO2 Laser แทน โดยจำนวนครั้งในการรักษาคือ 1 ครั้ง
สรุปชัด ๆ ฝ้า กระ ต่างกันอย่างไร
ฝ้าและกระมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนทั้งลักษณะที่ปรากฏและสาเหตุการเกิด ฝ้ามักเป็นปื้นสีน้ำตาลขนาดใหญ่ที่เกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสีทำงานผิดปกติ มักพบในตำแหน่งที่สมมาตรกันทั้งสองข้างของใบหน้า และมีปัจจัยกระตุ้นหลายอย่าง ทั้งฮอร์โมน พันธุกรรม และแสงแดด ในขณะที่กระมักเป็นจุดสีน้ำตาลขนาดเล็ก เกิดจากการสะสมของเม็ดสีเมลานิน มักพบในบริเวณที่สัมผัสแสงแดด และมีหลายประเภทที่ต้องใช้วิธีการรักษาแตกต่างกัน
เคลียร์ฝ้า กระ ปรับผิวหน้าให้กระจ่างใส ที่ DSK Clinic
การรักษาฝ้าและกระให้ได้ผลดีนั้น จำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยที่แม่นยำและเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม ที่ DSK Clinic เรามีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังที่พร้อมวิเคราะห์ปัญหาผิวเฉพาะบุคคล พร้อมด้วยเครื่องมือมาตรฐาน USFDA อย่าง Redtouch Pro Laser, Picosecond Laser ที่ได้รับการรับรองในการรักษาฝ้าโดยเฉพาะ และเทคโนโลยีเลเซอร์อื่นๆ ที่เหมาะสมกับการรักษากระแต่ละประเภท ทำให้มั่นใจได้ว่าจะได้ผลลัพธ์การรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ปลอดภัย และตรงจุด

