- May 11, 2025
“ผลัดเซลล์ผิวหน้า” อีกหนึ่งขั้นตอนดูแลผิวกระจ่างใสที่หลายคนไม่ควรมองข้าม

หมอปอร์เช่
นพ. สราวุธ เหล่ากิจรุ่งโรจน์
แพทย์ผู้ก่อตั้ง DSK Clinic

สารบัญ
คุณเคยรู้สึกไหมว่า ใบหน้าขาดความกระจ่างใส หรือผิวหน้าดูหมองคล้ำทั้งที่ใช้สกินแคร์มากมายแล้ว? หนึ่งในสาเหตุหลักอาจมาจากการสะสมของเซลล์ผิวที่ตายแล้วบนใบหน้า ซึ่งทำให้ผิวดูไม่สดใสและอาจนำไปสู่ปัญหาผิวอื่นๆ เช่น สิวอุดตัน รูขุมขนกว้าง หรือแม้กระทั่งริ้วรอยก่อนวัย การ “ผลัดเซลล์ผิวหน้า” จึงเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญในการดูแลผิวที่หลายคนมักมองข้าม แต่จริงๆ แล้วเป็นกุญแจสำคัญในการเผยผิวใหม่ที่กระจ่างใสและสุขภาพดี
บทความนี้ หมอจะพาคุณไปทำความรู้จักกับการผลัดเซลล์ผิวหน้าอย่างละเอียด ทั้งวิธีการ ข้อดี-ข้อเสีย และเลือกวิธีที่เหมาะกับสภาพผิวของคุณ เพื่อให้ผิวหน้ากระจ่างใสได้อย่างมีประสิทธิภาพ และปลอดภัยที่สุด
ผลัดเซลล์ผิวหน้า คืออะไร?
การผลัดเซลล์ผิวหน้า (Facial Exfoliation) คือกระบวนการกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกจากชั้นผิวหนังบนสุด หรือชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) เพื่อกระตุ้นให้เซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่ได้เร็วขึ้น
โดยธรรมชาติแล้ว ร่างกายของเรามีกระบวนการผลัดเซลล์ผิวเองอยู่แล้ว ซึ่งโดยเฉลี่ยจะใช้เวลาประมาณ 28 วันในการหมุนเวียนเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่เซลล์เก่า แต่เมื่ออายุมากขึ้น กระบวนการนี้จะช้าลง อาจใช้เวลาถึง 45-60 วัน ทำให้เซลล์ผิวเก่าสะสมบนผิวหน้านานขึ้น ส่งผลให้ผิวดูหมองคล้ำ ขาดความกระจ่างใส
การผลัดเซลล์ผิวหน้าจึงเป็นการช่วยเร่งกระบวนการผลัดเซลล์ตามธรรมชาติให้เร็วขึ้น ช่วยให้เซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่ได้เร็วกว่าปกติ ทำให้ผิวหน้าดูกระจ่างใส เรียบเนียน ลดการเกิดสิวอุดตัน และยังช่วยให้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวซึมซาบได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย
ผลัดเซลล์ผิวหน้ามีกี่แบบ?

การผลัดเซลล์ผิวหน้าสามารถทำได้หลายวิธี โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ การผลัดเซลล์ผิวด้วยวิธีทางกายภาพ และการผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี ซึ่งแต่ละวิธีก็มีข้อดีและข้อจำกัดแตกต่างกันไป ดังนี้
1. การผลัดเซลล์ผิวหน้าด้วยวิธีทางกายภาพ (Physical Exfoliator)
การผลัดเซลล์ผิวหน้าด้วยวิธีทางกายภาพ คือการใช้เม็ดสครับ หรือสิ่งที่มีพื้นผิวหยาบมาขัดผิวโดยตรง เพื่อช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกไป เช่น การใช้สครับที่มีเม็ดบีด ใยบวบ หรือแปรงทำความสะอาดผิวหน้า เพื่อช่วยขัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดลอกออกไป
แม้ว่าวิธีนี้จะได้ผลและรู้สึกได้ถึงผิวที่เนียนนุ่มทันทีหลังใช้ แต่การขัดผิวแรงเกินไปอาจทำให้เกิดรอยเล็กๆ บนผิวหนังได้ ซึ่งอาจนำไปสู่การอักเสบและระคายเคืองตามมา โดยเฉพาะในคนที่มีผิวบอบบางหรือแพ้ง่าย ดังนั้นหากเลือกใช้วิธีนี้ ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีเม็ดสครับขนาดเล็กละเอียด และนวดเบาๆ เพื่อลดการระคายเคืองผิว
2. การผลัดเซลล์ผิวหน้าด้วยการใช้สารเคมี (Chemical Exfoliants)
การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี คือการใช้กรดชนิดต่างๆ มาช่วยละลายพันธะที่ยึดเกาะระหว่างเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ทำให้เซลล์ผิวเก่าหลุดลอกออกไปได้ง่ายขึ้น โดยสารเคมีที่นิยมใช้มี 2 ประเภทหลักๆ คือ
- AHA (Alpha Hydroxy Acids) : เช่น กรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) และกรดแลคติก (Lactic Acid) ซึ่งมีโมเลกุลขนาดเล็ก สามารถซึมเข้าสู่ผิวได้ดี ช่วยผลัดเซลล์ผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เหมาะสำหรับผิวแห้ง ผิวที่มีริ้วรอย หรือผิวที่หมองคล้ำ
- BHA (Beta Hydroxy Acids) : เช่น กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) ซึ่งมีคุณสมบัติละลายได้ในน้ำมัน สามารถซึมลึกเข้าไปในรูขุมขนและช่วยละลายไขมันที่อุดตันได้ เหมาะสำหรับผิวมัน หรือผิวที่เป็นสิว
การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมีนั้นมักจะอ่อนโยนต่อผิวมากกว่าการขัดด้วยวิธีทางกายภาพ เนื่องจากไม่ได้ทำให้เกิดการเสียดสีบนผิวโดยตรง แต่อย่างไรก็ตาม ความเข้มข้นของกรดก็มีผลต่อประสิทธิภาพและความระคายเคืองที่อาจเกิดขึ้นได้ จึงควรเลือกความเข้มข้นให้เหมาะสมกับสภาพผิว โดยสำหรับผู้เริ่มต้น ควรเลือกใช้ความเข้มข้นต่ำก่อน และค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามการตอบสนองของผิว
เมื่อไหร่ที่เราควรผลัดเซลล์ผิวหน้า

การผลัดเซลล์ผิวหน้าเป็นขั้นตอนสำคัญในการดูแลผิว แต่ไม่ควรทำบ่อยเกินไป เพราะอาจทำให้ผิวบางลงและเกิดการระคายเคืองได้ โดยความถี่ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับประเภทของการผลัดเซลล์ผิวและสภาพผิวของแต่ละคน ดังนี้
- การผลัดเซลล์ผิวด้วยวิธีทางกายภาพ (Physical Exfoliator) : ควรทำประมาณ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์เท่านั้น เนื่องจากวิธีนี้อาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้ง่ายหากทำบ่อยเกินไป
- การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical Exfoliants) : ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสาร โดยผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นต่ำสามารถใช้ได้ทุกวัน แต่หากเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นสูง ควรใช้เพียง 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์
นอกจากนี้ ควรสังเกตการตอบสนองของผิวด้วย หากผิวเริ่มแดง แสบ คัน หรือลอกเป็นขุย แสดงว่าอาจผลัดเซลล์ผิวมากเกินไป ควรลดความถี่ลง หรือพักการผลัดเซลล์ผิวไปก่อน และควรเพิ่มการบำรุงผิวให้มากขึ้น
โดยช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการผลัดเซลล์ผิวหน้าคือ ตอนกลางคืน เนื่องจากผิวที่เพิ่งผ่านการผลัดเซลล์จะบอบบางและไวต่อแสงแดดมากขึ้น การทำตอนกลางคืนจะช่วยให้ผิวได้ฟื้นฟูตัวเองในขณะที่คุณนอนหลับ และลดความเสี่ยงจากการสัมผัสแสงแดดโดยตรง
เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียของการผลัดเซลล์ผิวหน้า
การผลัดเซลล์ผิวหน้าเป็นขั้นตอนสำคัญในการดูแลผิว แต่เหมือนกับทุกวิธีการดูแลผิว การผลัดเซลล์ผิวหน้าก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่ควรพิจารณาก่อนเริ่มต้น
ข้อดีของการผลัดเซลล์หน้า
- ช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป เผยผิวใหม่ที่กระจ่างใสกว่า
- กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้น
- ช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน ลดโอกาสเกิดสิว
- ช่วยให้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดีขึ้น
- ช่วยลดรอยดำ รอยสิว และความหมองคล้ำบนใบหน้า
- ช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ และลดเลือนริ้วรอยตื้นๆ ได้
- ช่วยให้ผิวเรียบเนียน นุ่มนวลขึ้น
- กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น
ข้อเสียของการผลัดเซลล์ผิวหน้า
- หากทำบ่อยเกินไป อาจทำให้ผิวบางลง เกิดการระคายเคืองได้ง่าย
- ทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้น เสี่ยงต่อการเกิดฝ้า กระ และรอยแดดเผา
- อาจทำให้ผิวแห้ง ตึง และเกิดอาการแพ้ได้ หากใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะกับสภาพผิว
- การผลัดเซลล์ผิวด้วยวิธีทางกายภาพที่รุนแรงเกินไป อาจทำให้เกิดรอยแผลเล็กๆ บนผิวหนังได้
- อาจทำให้เกิดการอักเสบและระคายเคืองในผู้ที่มีผิวบอบบางหรือแพ้ง่าย
- ผู้ที่มีโรคผิวหนังบางชนิด เช่น โรคสะเก็ดเงิน หรือโรคผิวหนังอักเสบ อาจมีอาการกำเริบหากใช้วิธีการผลัดเซลล์ผิวที่ไม่เหมาะสม
- การใช้สารเคมีความเข้มข้นสูงโดยไม่มีความรู้ อาจทำให้ผิวไหม้หรือเกิดรอยแผลเป็นได้
ควรรักษารอยดำด้วยการผลัดเซลล์ผิวหน้า หรือทำเลเซอร์ดี ?

เมื่อพูดถึงการรักษารอยดำบนใบหน้า ทั้งการผลัดเซลล์ผิวหน้าและการทำเลเซอร์ต่างก็เป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยม แต่ทั้งสองวิธีมีกลไกการทำงานและประสิทธิภาพที่แตกต่างกัน
การผลัดเซลล์ผิวหน้าทำงานโดยการกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป ซึ่งอาจช่วยลดเลือนรอยดำที่อยู่ในชั้นผิวตื้นๆ ได้ แต่มีข้อจำกัดในการเข้าถึงรอยดำที่อยู่ลึกลงไปในชั้นผิว นอกจากนี้ การผลัดเซลล์ผิวหน้าเป็นวิธีที่ต้องทำอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวบอบบาง เพราะหากลอกผิวเยอะเกินไปอาจทำให้ผิวหน้าบางลงและเกิดปัญหาตามมาได้
การผลัดเซลล์ผิวหน้าด้วยสารเคมีอย่าง AHA และ BHA จะมีประสิทธิภาพดีกว่าการใช้ Physical Scrub แต่ก็ยังต้องใช้ความเข้มข้นที่เหมาะสม และต้องใช้อย่างต่อเนื่องจึงจะเห็นผลชัดเจน ซึ่งอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน
ในขณะที่การทำเลเซอร์นั้นจะทำงานแตกต่างออกไป โดยไม่ได้เน้นที่การผลัดเซลล์ผิว แต่จะมุ่งเป้าไปที่เม็ดสี หรือเซลล์ที่มีปัญหาโดยตรง เลเซอร์สามารถเข้าถึงชั้นผิวที่ลึกกว่า และมีกลไกในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ รวมถึงลดการสร้างเม็ดสีที่ผิดปกติ ทำให้สามารถรักษารอยดำที่อยู่ลึกลงไปในชั้นผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า
ดังนั้น สำหรับรอยดำที่เกิดจากสิว ฝ้าเล็กน้อย หรือรอยดำตื้นๆ การผลัดเซลล์ผิวหน้าที่เหมาะสมอาจช่วยลดเลือนได้ในระดับหนึ่ง แต่สำหรับรอยดำที่ฝังลึก ฝ้าที่เป็นมานาน หรือปัญหาผิวที่ซับซ้อน การทำเลเซอร์อาจเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพมากกว่า
ที่ DSK Clinic เรามีเครื่องเลเซอร์ที่ทันสมัยและเหมาะสำหรับการรักษารอยดำ เช่น Redtouch Pro ที่ช่วยลดรอยแดงจากสิว และ Pico Laser ที่มีประสิทธิภาพในการรักษารอยดำได้อย่างล้ำลึก โดยทั้งสองเครื่องนี้ทำงานด้วยเทคโนโลยีเลเซอร์ที่เข้าถึงต้นเหตุของปัญหาผิวได้อย่างตรงจุด มากกว่าการผลัดเซลล์ผิวทั่วไป
สรุปบทความ
การผลัดเซลล์ผิวหน้าเป็นขั้นตอนสำคัญในการดูแลผิวที่ไม่ควรมองข้าม เพราะช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป เผยผิวใหม่ที่กระจ่างใส เรียบเนียน และยังช่วยให้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การผลัดเซลล์ผิวหน้าควรทำอย่างเหมาะสม เลือกวิธีที่ตรงกับสภาพผิวของคุณ และไม่ควรทำบ่อยเกินไป เพื่อป้องกันการระคายเคืองและปัญหาผิวอื่นๆ ที่อาจตามมา
สำหรับปัญหาผิวที่ซับซ้อนกว่า เช่น รอยดำฝังลึก ฝ้า กระ หรือผิวที่มีความหมองคล้ำมาก การรักษาด้วยเลเซอร์อาจเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพมากกว่า ที่ DSK Clinic เรามีทั้งผลิตภัณฑ์และบริการที่ช่วยให้ผิวของคุณกระจ่างใสอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้ง Rejuran ที่ช่วยฟื้นฟูผิวให้เปล่งประกายแบบ Glass Skin ที่ทุกคนต้องการ, Redtouch Pro ที่ช่วยรักษารอยแดงจากสิว และ Picosecond Laser ที่มีประสิทธิภาพสูงในการรักษารอยดำแบบล้ำลึก
ทั้งหมดนี้จะถูกออกแบบการรักษาแบบเฉพาะบุคคล (Custom Technique) จากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของเรา เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับสภาพผิวของคุณโดยเฉพาะ หากคุณไม่แน่ใจว่าควรเลือกวิธีการดูแลผิวแบบใด หรือต้องการคำแนะนำเฉพาะสำหรับปัญหาผิวของคุณ ทีมแพทย์ของ DSK Clinic พร้อมให้คำปรึกษา และวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ
