- Blog
- Body confidence
- June 24, 2021
How to Rejuvenate ทำอย่างไรให้ดูเด็กลง
หมอปอร์เช่
นพ. สราวุธ เหล่ากิจรุ่งโรจน์
แพทย์ผู้ก่อตั้ง DSK Clinic
สารบัญ
หากพูดถึงประเด็นที่ว่า ทำอย่างไรให้หน้าดูเด็ก? ทำอย่างไรให้คงความสาวเอาไว้ได้? หลายคนมักพุ่งเป้าไปที่หัตถการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Botox, Filler, Laser, HIFU หรือ Thermage แต่อาจจะลืมมองไปถึงสาเหตุที่แท้จริง วันนี้หมอขอพาไปเจาะลึกเรื่องความอ่อนเยาว์ อะไรกันแน่เป็นสาเหตุที่ทำให้หน้าเราไปก่อนวัยอันควร ไปอ่านกันเลย
ความเรียบเนียนของผิว (Texture)
Texture คืออะไร?
Texture หมายถึงพื้นผิว ประกอบด้วยความเรียบเนียน และสีผิวที่สม่ำเสมอ เมื่ออายุมากขึ้น ผิวที่เคยเรียบเนียนสม่ำเสมอ ก็จะเริ่มเกิดเส้นเล็ก ๆ ขึ้นมา (Fine lines) ในขณะเดียวกันก็จะมีริ้วรอยใหญ่ ๆ ที่มักเกิดจากการแสดงสีหน้าร่วมด้วย (Wrinkle) เช่น ตีนกา หรือริ้วรอยที่หน้าผาก
นอกจากนี้เมื่ออายุมากขึ้นก็จะเกิดจุดด่างดำ ทั้ง กระ ฝ้า และความไม่สม่ำเสมอของสีผิวจากแสงแดดด้วย
แก้ไข Texture อย่างไร?
- สำหรับริ้วรอยเล็ก ๆ บนผิว (Fine Line) รวมทั้งความไม่เรียบเนียนของผิวต่าง ๆ เลเซอร์ Fractora คือสิ่งที่ตอบโจทย์และให้ผลลัพธ์ดีที่สุด ด้วยกลไกกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ และลอกผิวชั้นบนออกบางส่วน ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้เป็นผลลัพธ์ถาวร
- แต่ถ้าหากต้องการผลลัพธ์ภายใน 1-2 สัปดาห์ สามารถใช้ Skin Radiance by Merz ซึ่งเป็นการเติมความเรียบเนียนของผิวแบบทันทีด้วยฟิลเลอร์เนื้อบางที่หลอมรวมกับผิวโดยไม่เปลี่ยนรูปหน้า ทำให้ผิวเรียบเนียนและฉ่ำวาว อยู่ได้ประมาณ 6 เดือน
ความแตกต่างของ Fractora และ Skin Radiance คือ Fractora จะได้ผลลัพธ์ที่ช้ากว่าเพราะต้องรอคอลลาเจนสร้างแต่อยู่ถาวร ส่วน Skin Radiance จะไม่ถาวรแต่ได้เรื่องความชุ่มชื่นและฉ่ำน้ำที่เพิ่มเข้ามา
- สำหรับริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้า เช่น ตีนกา หน้าผาก หว่างคิ้ว รอยย่นจมูก สามารถรักษาได้ด้วย Botox
- สำหรับปัญหาจุดด่างดำนั้น สามารถแก้ไขได้ด้วย Laser เช่น SpectraXT, Chemical Peeling, ยาทา หรือ Treatment ที่ช่วยผลักตัวยาในการบำรุงผิว
ความหย่อนคล้อย (Laxity)
ความหย่อนคล้อยเกิดจากอะไร ?
หากจะให้นึกภาพตามง่าย ๆ ลองนึกถึง “ลูกโป่ง” ที่หย่อน เกิดได้จาก 2 สาเหตุ ได้แก่
- น้ำที่หายไป
- ผิวยางลูกโป่งที่เสื่อมจนพยุงน้ำไม่อยู่และหย่อนออกมา
หากเปรียบเทียบกับผิว ผิวที่ดูหย่อนคล้อยลงมา เกิดได้ทั้งจากตัวผิวเองที่เสื่อมเนื่องจากคอลลาเจนสลายไป ทำให้ผิวไม่ตึงเหมือนเดิม หรืออาจเกิดจากโครงสร้างใต้ผิวที่เป็นตัวพยุงผิวเสื่อม เมื่อปริมาตรด้านใต้หายไปแต่ผิวยังเท่าเดิม ผิวก็จะหย่อนลงมา โดยโครงสร้างข้างใต้ผิวที่หายไปเกิดจากไขมันที่ลดลง เส้นเอ็นที่หย่อน กระดูกที่สลายมากขึ้นตามอายุ และกล้ามเนื้อที่ลดลง
เมื่อรวมผลทั้งจากผิวเองและโครงสร้างข้างใต้ที่หย่อนยาน ทำให้เกิดความหย่อนคล้อยขึ้นทั้งใบหน้า รวมถึงขอบหน้าที่ไม่ชัด เปลือกตา คิ้ว และมุมปากที่ตกลงตามอายุ
แก้ไขความหย่อนคล้อยอย่างไร?
ทำให้ชั้นใต้ผิวยกขึ้น
เทคโนโลยีในปัจจุบันที่สามารถยกผิวได้ดีที่สุดโดยไม่ต้องศัลยกรรม ได้แก่ UltraHIFU และ Ulthera เนื่องจากสามารถลงได้ลึกที่สุดถึงผิวหนังชั้น SMAS
SMAS คือชั้นที่อยู่ใต้ผิวลึกประมาณ 4.5 mm สาเหตุที่ใคร ๆ ก็พูดถึง SMAS นั่นก็เพราะ SMAS เป็นชั้นผิวที่มีเส้นใยโยงถึงผิว ดังนั้นหาก SMAS ยก ผิวก็จะยก SMAS จึงเป็นชั้นที่หมอศัลยกรรมใช้ในการยกใบหน้า หากสามารถทำให้ SMAS ยกได้ หน้าก็จะยก
ทำให้ตัวผิวยกขึ้น
0-3 mm แรกของผิวเราจะเป็นชั้นของหนังแท้และหนังกำพร้า ลึกลงไปกว่านั้นจะเป็นชั้นไขมันและชั้น SMAS
HIFU สามารถลงลึกได้ถึง 5 mm โดยที่พลังงานจะไม่ไปทำลายผิวหนังชั้นบนเลย ความร้อนจะโดนผิวหนังชั้นบนเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ เท่านั้น ดังนั้น HIFU จะดีในแง่ของการยกกระชับใบหน้า แต่อาจไม่ได้ช่วยให้ทำลายชั้นไขมันใต้ผิว
แต่หากเราอยากโฟกัสที่ผิวชั้นบน (0-3 mm) และสลายไขมัน แนะนำให้ทำเครื่องในกลุ่ม Radio Frequency ซึ่งส่งพลังงานลงไปเป็นจุดใหญ่ ๆ ที่ DSK Clinic เรามีทั้งชนิด Bipolar (Formatite) และ Multipolar RF (Venus Legacy) ซึ่งทุกเครื่องได้รับการรับรองจาก อย. อเมริกา (USFDA)
HIFU หรือ Formatite ?
คนไข้มักถามว่า HIFU กับ Formatite อะไรยกกระชับมากกว่ากัน?
คำตอบคือ อยู่ที่ว่าปัญหาของคนไข้คืออะไร เพราะทั้ง 2 เครื่องลงไปยังผิวหนังคนละชั้น โดย HIFU จะส่งพลังงานเป็นจุดลงไปยังชั้นผิวได้ลึกกว่า สามารถลงได้ถึงผิวหนังชั้น SMAS จึงให้ผลด้านการยกกระชับที่ดีกว่า Formatite เพราะ Formatite ส่งพลังงานลงไปเป็นจุดใหญ่ได้ถึงแค่ชั้นหนังแท้ แต่ไม่ถึงชั้น SMAS ทำให้ยกได้เพียงผิวชั้นตื้นเท่านั้น
แต่หากเป็นคนที่มีเนื้อหรือไขมันเยอะมาก การใช้ HIFU ลงไปยกกระชับผิวจากด้านล่างอาจจะไม่ค่อยเหมาะ เพราะชั้นผิวด้านบนค่อนข้างหนัก กรณีนี้แนะนำให้ทำ Formatite หรือ Mesofat เพื่อลดไขมันด้านบนออกไปก่อน หลังจากนั้นตามด้วย HIFU จะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า
ทำไมทำ HIFU บางที่ไม่เห็นผล?
จะเห็นผลหรือไม่เห็นผลนั้น ขึ้นอยู่กับทั้งตัวเครื่องและแพทย์ ในปัจจุบันเครื่อง HIFU มีตั้งแต่ราคาหลักพันแบบใช้ที่บ้านที่ขายในอินเทอร์เน็ต หรือหลักห้าหมื่นที่ขายให้สปา หรือคลินิกบางที่ จนไปถึงหลักล้านที่คลินิกและโรงพยาบาลชั้นนำใช้ ทั้งหมดเรียกว่าเทคโนโลยีเดียวกันคือ HIFU แต่โครงสร้างข้างในเครื่องเหล่านั้นย่อมไม่เหมือนกัน พลังงานที่ออกมาย่อมไม่เหมือนกัน ดังนั้นคุณภาพเครื่องมือคือสิ่งที่สำคัญ ถูกและดีไม่มี แต่แพงก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป เพราะหลายครั้งก็มีการนำเครื่องถูกมาขายราคาแพง
เครื่อง HIFU ที่ดีควรมีแม่นยำ (Precision) และควรมีพลังงานที่ออกมาอย่างเหมาะสม เช่น หากต้องการลงพลังงานลึกที่ 4.5 mm เพื่อให้โดนชั้น SMAS แพทย์จะต้องเลือกหัวยิง และตั้งค่าให้ลงไปที่ 4.5 mm เครื่องที่ดีก็ควรลงไปที่ 4.5 mm ตามที่ต้องการ แต่เครื่องที่ไม่ได้คุณภาพและเครื่องราคาถูก มักไม่สามารถส่งพลังงานอย่างเสถียรลงไปในชั้นที่ต้องการ เช่น ใน 1 line ยิงของ HIFU จะมีพลังงานออกมา 17 จุด เครื่องที่ดีควรมีทุกจุดลงที่ 4.5 mm ในขณะที่เครื่องที่ไม่ดี อาจลงกระจัดกระจาย ลงตรงเป้าหมายแค่ 1 จุด ทำให้ไม่ได้ผล และอาจทำให้เกิดอันตรายตามมาด้วย
UltraHIFU ที่ DSK Clinic เลือกใช้ เป็นเครื่องจากบริษัทเลเซอร์ชั้นนำระดับโลก ได้รับมาตรฐาน อย. เกาหลี (KFDA) และผ่านการวิจัยที่ทำในผิวหนังมนุษย์จริง พิสูจน์แล้วว่าพลังงานลงได้แม่นยำ เสถียร และได้รับการตีพิมพ์ในระดับนานาชาติ
อีกข้อที่เป็นตัวกำหนดว่า HIFU จะมีมาตรฐานหรือไม่นั้นคือ ปริมาณ Line ที่ยิง และเทคนิคของแพทย์
สิ่งที่คนไข้ควรรู้คือ ใน 1 line จากการยิง 1 ครั้ง จะมี shot ออกมาประมาณ 20 จุด และใบหน้าคน 1 คนควรใช้ประมาณ 600 line ซึ่งจะได้รับประมาณ 12,000 dot/shot จึงจะสามารถให้ผลที่ดี ในปัจจุบันมีคลินิกจำนวนมากใช้โปรโมชั่นไม่จำกัดไลน์ทำให้ดูคุ้ม แต่ยิงจริงประมาณ 200-300 lines ทำให้ผลลัพธ์ไม่ดีเท่าที่ควร
อีกเรื่องคือเรื่องของเทคนิค แพทย์ควรได้รับการอบรมฝึกฝนการใช้ HIFU โดยตรงเพื่อให้สามารถยิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ เลือกใช้ความลึกได้ถูกต้อง และเข้าใจสภาพผิวที่ต่างกันในคนไข้แต่ละคน
UltraHIFU ที่ DSK Clinic ยังเป็นแบรนด์เดียวที่มีเทคโนโลยี Linear Focus Ultrasound ทำให้จากเดิม HIFU ทั่วไปอาจจะส่งพลังงานออกมาเป็น Micro หรือ Macro dot ต่อกันเป็นเส้น แต่ LFU สามารถส่งพลังงานออกมาเป็นเส้นที่ต่อเนื่อง ทำให้พลังงานลงสู่ชั้นผิวได้มากกว่า
ปริมาตรผิวที่หายไป (Volumn)
ปริมาตรผิวที่หายไป ทำให้เกิดร่องต่าง ๆ มากมายทั้งร่องใต้ตา ร่องแก้ม ขมับตอบ หน้าแบน เมื่อปริมาตรหายไปมากขึ้นก็อาจทำให้ผิวหย่อนลง เนื่องจากโครงสร้างที่ค้ำจุนด้านล่างไม่พอ
Volumn แก้ไขอย่างไร
การเติม Volumn แก้ไขได้โดยการฉีด Filler หรือสารเติมเต็มเข้าไปบริเวณต่าง ๆ โดย Filler ตัวเดียวที่ได้รับการรับรองจาก อย. ไทยคือ HA Filler ก็คือฟิลเลอร์ที่มีส่วนประกอบจาก Hyaluronic acid โดยตัว HA Filler เองก็มีหลากหลายแบรนด์หลากหลายคุณสมบัติที่เหมาะกับบริเวณที่แตกต่างกัน เช่น การเติมใต้ตา อาจใช้ฟิลเลอร์เนื้อบาง ๆ ที่กลืนกับผิว ทำให้ผิวไม่เป็นก้อน แต่ถ้าเป็นการเติมคางอาจใช้ฟิลเลอร์ที่ขึ้นรูปได้ดี เป็นต้น โดยการเติม Filler นอกจากใช้ในการปรับรูปหน้าและเติมบริเวณนั้นให้เต็มแล้ว ยังช่วยในการยกใบหน้าขึ้น เนื่องจากการเสริมปริมาตรใต้ผิวให้เต็มขึ้นมานั่นเอง
HA Filler VS เติมไขมัน
สิ่งที่ควรรู้ก่อนการเติมไขมันคือ การเติมไขมันไม่ได้อยู่ได้ตลอดไป เพราะคนไข้หลายคนเข้าใจว่า เติมไขมันแล้วอยู่ถาวร ทั้งที่จริง ๆ นั้น ไขมันที่เติมไปประมาณ 80% จะสลายไปภายใน 2 เดือนแรก นอกจากนี้ไขมันยังมีเนื้อเดียว ในขณะที่ฟิลเลอร์มีหลากหลายรูปแบบมาก ทำให้เราสามารถเลือกความเนียน ความบาง หรือความหนักเบาให้เหมาะสมกับบริเวณต่าง ๆ ได้
การเติม Filler จึงควบคุมความสวยงามได้มากกว่า เรียบเนียนกว่า และเลือกเนื้อให้เหมาะสมกับบริเวณต่าง ๆ ได้มากกว่า ที่สำคัญคือ การเติมไขมันมีโอกาสอุดตันเส้นเลือดทำให้เกิดโอกาสตาบอดได้สูงกว่า หากเกิดข้อผิดพลาดปัจจุบันยังไม่มียาที่สามารถสลายไขมันได้ ในขณะที่ฟิลเลอร์มียาสลายแล้ว
Our way of treatment วิธีการในการรักษาของเรา
คนไข้แต่ละคนไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างเพื่อลดความชราของใบหน้า หมอไม่ได้ต้องการรักษาให้เยอะที่สุด แต่สิ่งที่หมอทำคือวิเคราะห์ปัญหาแต่ละจุดอย่างตรงไปตรงมา เพื่อดูว่าคนไข้มีปัญหาใด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพื้นผิว ความหย่อนคล้อย หรือปริมาตรที่หายไป ปัญหาไหนเป็นปัญหาหลักที่ทำให้คนไข้ดูแก่ จำเป็นต้องแก้เรื่องปริมาตรไหม? หรือแค่ทำให้ผิวตึงขึ้นก็พอ? หรือเติมปริมาตรก่อนก็สวยแล้ว? ยังไม่ต้องแก้เรื่องริ้วรอยเพราะไม่ได้ดูแย่? สิ่งเหล่านี้คือโจทย์ที่ต่างกันในคนไข้แต่ละคน ที่แพทย์ต้องพิจารณาทั้งจากปัญหาที่เห็น ปัญหาที่ฟังจากคนไข้ และความต้องการของตัวคนไข้เอง