- Blog
- Botox, Custom Filler & Lifting
- August 10, 2023
หมดปัญหาหน้าใหญ่ กรอบหน้าไม่ชัดไปกับโบท็อกซ์กราม | DSK Clinic
หมอปอร์เช่
นพ. สราวุธ เหล่ากิจรุ่งโรจน์
แพทย์ผู้ก่อตั้ง DSK Clinic
สารบัญ
คุณหมอขอสรุป ฉีดโบท็อกซ์กราม ที่ DSK Clinic ดียังไง ? – จุดเด่นของการฉีดโบท็อกซ์ลดกราม คือ เมื่อฉีดแล้วใบหน้าดูเล็กลงอย่างเห็นได้ชัดภายในระยะเวลา 4 สัปดาห์ และสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดยไม่ต้องมีการพักฟื้นใด ๆ – โบท็อกซ์กรามไม่ได้เหมาะกับทุกคน เพราะการปรับรูปหน้าต้องดูสาเหตุของปัญหาด้วย – โบท็อกซ์กรามจะดีกับปัญหาที่เกิดจากกล้ามเนื้อกรามใหญ่ หากเป็นสาเหตุจากกระดูก ไขมัน หรือความหย่อนคล้อยจะต้องใช้วิธีการรักษาอื่น จึงอาศัยการวิเคราะห์จากแพทย์ ว่าเป็นเคสที่เหมาะสม –การฉีดโบท็อกซ์กราม 1 ครั้งจะใช้ยาประมาณ 20-40 unit ต่อข้าง เห็นผลหลัง 1 เดือน และอยู่ยาว 4-6 เดือน – ปัจจุบันมีโฆษณาชวนเชื่อจำนวนมากว่าใช้ยูนิตมาก ซึ่งเป็นการผสมน้ำเกลือมากเป็นพิเศษให้ดูคุ้ม แต่ไม่ได้ยามากตามกล่าวอ้าง ยูนิตที่ใช้จริงควรเป็นจำนวนที่ผ่านการประเมินจากแพทย์ว่าพอดีตามขนาดกล้ามเนื้อ – การใช้มากไป หรือน้อยไป ไม่ก่อให้เกิดผลดี – ปัจจุบันในประเทศไทยมียาปลอม ยาผิดกฎหมายจำนวนมาก จึงแนะนำให้ตรวจสอบก่อนฉีดและใช้เฉพาะยาผสมใหม่ เหมาขวดเท่านั้น – ที่ DSK เราจะเน้นการวิเคราะห์โครงสร้าง ประเมินสาเหตุ เลือกการรักษาที่เหมาะสมกับสาเหตุ และออกแบบเทคนิคเฉพาะบุคคลให้เกิดผลลัพธ์ที่ธรรมชาติ ใช้เฉพาะยาแท้ และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง และการปรับรูปหน้าที่มีประสบการณ์สูงเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดเท่านั้น |
การฉีดโบท็อกซ์กราม เป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากการฉีดโบท็อกซ์กรามช่วยให้ใบหน้าดูเล็กลง โดยเฉพาะคนที่มีกล้ามเนื้อกรามใหญ่ บทความนี้ จึงมาแนะนำว่าทำไมต้องฉีดโบท็อกซ์กราม? พร้อมบอกรายละเอียดความสามารถของโบท็อกซ์ว่าช่วยลดกรามได้อย่างไร?
โบท็อกซ์กราม คืออะไร ?
การฉีดโบท็อกซ์กราม คือ การฉีดโบท็อกซ์บริเวณกล้ามเนื้อส่วนกราม หรือบริเวณกรอบใบหน้า เมื่อฉีดโบท็อกซ์กรามเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะสังเกตเห็นได้ว่าใบหน้าดูเรียวเล็กมากกว่าเดิมอย่างชัดเจน ภายในระยะเวลา 4 สัปดาห์
ฉีดโบท็อกซ์กราม ช่วยอะไรบ้าง ?
โบท็อกซ์กราม ช่วยแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง? เมื่อฉีดโบท็อกซ์กรามเรียบร้อยแล้วจะสังเกตเห็นได้ว่าใบหน้าดูเรียวเล็กขึ้น เพราะเนื้อส่วนกรามเล็กลง ทำให้รูปหน้าดูมีความเป็น V-shape มากขึ้น
- โบท็อกซ์กรามช่วยให้ใบหน้าดูเรียวมากขึ้น
- โบท็อกซ์กรามช่วยให้ส่วนกรามดูเล็กลง
- โบท็อกซ์กรามช่วยให้แก้มดูเรียวขึ้น เนื่องจากเนื้อบริเวณกรามเล็กลง
โบท็อกซ์กรามมีข้อดี และข้อเสียอย่างไร ?
โบท็อกซ์กรามมีข้อดีข้อเสียอย่างไร? ฉีดโบท็อกซ์หน้าเรียวจริงไหม? โบท็อกซ์กรามช่วยทำให้ใบหน้าดูเล็กลงได้จริง แต่ก็มีข้อดีและข้อเสียของการฉีดโบท็อกซ์เหมือนกัน โดยในการฉีดโบลดกรามมีข้อดีและข้อเสีย ดังนี้
ข้อดีของการฉีดโบท็อกซ์ลดกราม
- การฉีดโบท็อกซ์สามารถเห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด จึงเหมาะมากสำหรับคนที่มีใบหน้าเหลี่ยม หรือใบหน้าบาน จากปัญหากรามใหญ่
- ฉีดโบท็อกซ์ทำให้ใบหน้าเรียวขึ้น เห็นผลรวดเร็วภายใน 4 สัปดาห์
- เมื่อฉีดโบท็อกซ์เสร็จสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ไม่ต้องนอนพักฟื้น
ข้อเสียของการฉีดโบท็อกซ์ลดกราม
- ในระหว่างการฉีดโบลดกรามจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อย
- โบท็อกซ์ไม่สามารถทำให้ใบหน้าเรียวเล็กตลอดไปได้ โดยโบท็อกซ์จะค่อยๆ สลายตัวลงไปหลังจากฉีดประมาณ 6-8 เดือน
- การฉีดโบท็อกซ์กรามเป็นเพียงการลดการทำงานของกล้ามเนื้อช่วงกรามเท่านั้น สำหรับผู้ที่มีปัญหาแก้มเยอะ ใบหน้าใหญ่มาจากกระดูกกราม จะไม่สามารถแก้ไขด้วยการฉีดโบท็อกซ์กรามได้
โบท็อกซ์ลดกราม อเมริกา เยอรมนนี เกาหลี ยี่ห้อไหนดีที่สุด ?
โบท็อกซ์กรามมียี่ห้อไหนบ้าง? แล้วโบท็อกซ์กรามควรเลือกยี่ห้อไหนถึงจะดี? แน่นอนว่าในปัจจุบันมีโบท็อกซ์หลายยี่ห้อให้เลือกใช้งาน แต่ละยี่ห้อนั้นก็มีจุดเด่นแตกต่างกัน มีค่าความบริสุทธิ์แตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตรวจร่างกาย และวางแผนรักษาโดยละเอียดของแพทย์ผู้ชำนาญการ โดยโบท็อกซ์ที่ได้รับความนิยมมีให้เลือกทั้งหมด 3 ยี่ห้อด้วยกัน ได้แก่
Allergan
โบท็อกซ์อัลเลอร์แกน (Allergan) เป็นโบท็อกซ์นำเข้าจากประเทศสหรัฐอเมริกา ผลิตโดยบริษัทอัลเลอร์แกน ซึ่งเป็นบริษัทยาที่มีชื่อเสียง มีตัวยาหลายตัวที่ผลิตจากบริษัทแห่งนี้ โดยโบท็อกซ์ Allergan มีจุดเด่นที่สุดในเรื่องของความคงทน แต่มีราคาสูงเกือบ 2 เท่า เมื่อเทียบกับโบท็อกซ์เกาหลี
Nabota
โบท็อกซ์นาโบตะ (Nabota) เป็นโบท็อกซ์นำเข้าจากประเทศเกาหลีเพียงยี่ห้อเดียวที่ผ่านการรับรองจากประเทศสหรัฐอเมริกา (USFDA) ซึ่ง Nabota เป็นโบท็อกซ์ที่มีความบริสุทธิ์ถึง 98.7% นิยมใช้ฉีดโบลดกราม หรือฉีดลดริ้วรอย เหมาะสำหรับคนงบจำกัด เป็นสายเกาหลีที่มาตรฐานสูงสุด
Xeomin
โบท็อกซ์ซีโอมิน (Xeomin) เป็นโบท็อกซ์จากเยอรมัน หรือที่หลายๆ คนอาจเรียกติดปากว่า โบท็อกซ์เยอรมัน ซึ่งเป็นโบท็อกซ์บริสุทธิ์ 100% เป็นโบท็อกซ์ที่มีการนำ XTRACT Technology™ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้ในกระบวนการผลิต เพื่อกำจัดโปรตีนที่ไม่จำเป็นออกไป จนทำให้โบท็อกซ์ Xeomin มีโมเลกุลขนาดเล็ก ให้ความเป็นธรรมชาติสูงที่สุด และไม่ต้องกังวลเรื่องดื้อยา แต่ยังคงประสิทธิภาพในการยับยั้งการทำงานของระบบประสาทได้ดี ที่สำคัญ คือ เป็นโบท็อกซ์แบรนด์เดียวที่ไม่เคยมีประวัติเรื่องการดื้อยา เพราะปราศจาก Complexing Protein ที่ก่อให้เกิดการดื้อยา เหมาะกับการฉีดเพื่อยกกระชับใบหน้า ลดริ้วรอย สามารถฉีดโบลดกรามได้อีกด้วย
ฉีดโบท็อกซ์ลดกราม อยู่ได้นานแค่ไหน ?
การฉีดโบลดกรามสามารถอยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน ขึ้นอยู่ปริมาณยูนิต หรือจำนวนที่ฉีด การดูแลตนเองหลังจากฉีดโบท็อกซ์ และต้องมั่นใจว่าเป็นโบท็อกซ์ของแท้ที่มีคุณภาพเท่านั้น นอกจากนี้ การฉีดโบท็อกซ์ให้เห็นผลต่อเนื่อง ควรเข้ารับการฉีดตามคำแนะนำของแพทย์
ฉีดได้บ่อยแค่ไหน และกี่ครั้ง ? หน้าถึงเล็กลง
ต้องฉีดกี่ครั้งใบหน้าถึงจะดูเรียวเล็กลง? ต้องบอกก่อนว่าการฉีดโบท็อกซ์ลดกราม 1 ครั้ง สามารถให้ผลลัพธ์ได้ราวๆ 4-6 เดือน โดยไม่ต้องทำการฉีดหลายๆ ครั้งเพื่อให้เห็นผล แต่เมื่อผ่านระยะเวลา 4-6 เดือนไปแล้ว ก็ควรกลับมาฉีดใหม่ให้ต่อเนื่อง เพื่อให้กล้ามเนื้อบริเวณกรามทำงานน้อยลงเรื่อยๆ จนส่งผลดีในระยะยาว
ฉีดโบท็อกซ์กรามเหมาะกับใคร ?
ฉีดโบท็อกซ์กรามเหมาะกับใคร? แนะนำให้สำรวจใบหน้าของตนเองดูว่ามีลักษณะเข้าข่ายอาการเหล่านี้หรือไม่ ถ้ามี ก็สามารถเข้ารับการฉีดโบลดกรามได้เลย
- ผู้ที่มีปัญหาใบหน้าดูอ้วน หน้าบานจากกล้ามเนื้อบริเวณกราม
- ผู้ที่มีใบหน้าทรงเหลี่ยม ดูไม่เป็นธรรมชาติ
- ผู้ที่มีเนื้อช่วงกรามหนา ดูใหญ่ ซึ่งมีสาเหตุมาจากกล้ามเนื้อบริเวณช่วงกรามแน่น หรือกล้ามเนื้อมีความแข็งแรงสูง
สำหรับผู้ที่มีปัญหาโครงสร้างกรามใหญ่จากกระดูก การฉีดโบท็อกซ์จะไม่สามารถช่วยได้ หากไม่มั่นใจว่าควรฉีดโบท็อกซ์กรามหรือไม่ ทาง DSK สามารถให้คำปรึกษา เพื่อทำการตรวจสภาพร่างกาย และวิเคราะห์โครงสร้างของใบหน้าก่อน จะได้รู้ว่าการรักษาแบบใดเหมาะสมกับคนไข้มากที่สุด
การเตรียมตัวก่อนการฉีดโบท็อกซ์กราม
ก่อนเข้ารับการฉีดโบท็อกซ์กรามควรเตรียมตัวอย่างไร? เพื่อให้การฉีดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ หมอขอแนะนำว่าควรเตรียมตัวให้พร้อมโดยปฏิบัติ ดังนี้
- งดรับประทานวิตามินบำรุง และอาหารเสริมบางชนิด เช่น แปะก๊วย น้ำมันพริมโรส กระเทียม และโสม
- งดการทำหัตถการที่เกิดสะเก็ดบริเวณที่ฉีด
การดูแลตัวเองหลังการฉีดโบท็อกซ์กราม
หลังจากที่ฉีดโบท็อกซ์เรียบร้อยแล้ว คุณหมอขอแนะนำวิธีดูแลตัวเองหลังจากฉีดโบลดกราม เพื่อให้โบท็อกซ์อยู่กับใบหน้าของเราได้นานขึ้น ควรปฏิบัติ ดังนี้
- หากมีอาการบวมแดง หรือช้ำ สามารถใช้น้ำแข็งประคบได้
- หลังจากฉีดโบท็อกซ์เสร็จเรียบร้อย ควรลองขยับกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดประมาณ 2-3 ครั้ง เพื่อให้ตัวยากระจายเข้ากล้ามเนื้อได้มากขึ้น
- ห้ามใช้มือ หรือสิ่งของใดๆ มากด ทับ หรือถูบริเวณที่ฉีด
- งดการแต่งหน้าเป็นเวลา 12 ชั่วโมงหลังการฉีด เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อจากเครื่องสำอาง
- งดนอนราบหลังการฉีดอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นเวลา 1 สัปดาห์
ฉีดโบท็อกซ์ทำให้ยิ้มแข็ง หรือยิ้มไม่สุด เกิดจากอะไร ?
โดยปกติแล้วผู้ที่ฉีดโบลดกรามจะรู้สึกตึงๆ บริเวณกรามเพียงเล็กน้อยหลังจากฉีดเสร็จ จากนั้นความเจ็บจะค่อยๆ ลดน้อยลงไป แต่ในคนไข้บางรายนั้น อาจรู้สึกว่าฉีดโบท็อกซ์แล้ว ทำให้ยิ้มแข็ง หรือยิ้มไม่สุด ซึ่งอาการยิ้มแข็งน้้น อาจเกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน ได้แก่
- ฉีดโบท็อกซ์กรามผิดตำแหน่ง ปัญหานี้ถือเป็นเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ หากแพทย์ไม่มีประสบการณ์มากพอ เนื่องจากการฉีดโบลดกราม จะต้องทำการฉีดโบท็อกซ์เข้าไปที่กล้ามเนื้อกราม ซึ่งใกล้กับกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อไรซอเรียส (Risorius) หรือที่ทุกคนคุ้นเคยในชื่อกล้ามเนื้อแสยะยิ้มนั่นเอง
- มีกรามใหญ่กว่าปกติค่อนข้างมาก ทำให้จำเป็นต้องฉีดโบลดกรามหลายยูนิต ซึ่งการฉีดโบท็อกซ์ปริมาณมากจะทำให้ฤทธิ์ยาแพร่กระจายได้กว้างขึ้น หมอขอแนะนำให้แบ่งฉีด และเว้นระยะห่าง อย่าฉีดถี่จนเกินไป ซึ่งตรงนี้หมอจะเป็นคนประเมิน และวางแผนการฉีดให้กับคนไข้เองครับ
- ฉีดโบท็อกซ์ปลอม การฉีดโบท็อกซ์ปลอมอาจเกิดปัญหายิ้มแข็ง หน้าแข็งไปเลยก็ได้เช่นกัน เนื่องจากการเสื่อมประสิทธิภาพของตัวยา
- ใบหน้าของคนไข้มีกล้ามเนื้อที่ต่ำกว่าปกติ เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล โดยกล้ามเนื้อไรซอเรียสของคนไข้อาจอยู่ต่ำกว่าปกติ เลยทำให้เกิดปัญหายิ้มแข็ง ซึ่งในเคสนี้ถือว่าพบได้ยาก เพียง 1-2% เท่านั้น
ฉีดโบท็อกซ์กรามที่ไหนดี ?
อ่านกันมาถึงตรงนี้แล้ว หลายๆ คนคงกำลังคิดว่าจะฉีดโบลดกรามที่คลินิกไหนดี? หมอขอแนะนำ ดังนี้
- อย่าเลือกโบท็อกซ์จากราคาถูก เพราะอาจเป็นโบท็อกซ์ปลอม หรือโบท็อกซ์หิ้วที่ไม่ได้รับรองคุณภาพ ไม่สามารถตรวจสอบที่มาได้ และไม่มีความปลอดภัย
- เลือกคลินิกที่วิเคราะห์ปัญหาของคนไข้ว่าต้องใช้วิธีการรักษาแบบใดจึงจะเหมาะสม ไม่ควรเลือกคลินิกที่เน้นขายโปรโมชั่น แต่ไม่ให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ปัญหาของคนไข้ เพราะสุดท้ายจะทำให้ได้ผลลัพธ์ออกมาไม่ดี
- ควรเลือกซื้อโบท็อกซ์แบบเหมาขวดของแท้ เพื่อลดความเสี่ยงการปนเปื้อน โดยสามารถตรวจสอบที่ขวดโบท็อกซ์ก่อนทำการฉีดว่าเป็นของแท้หรือไม่ เพราะหากฉีดโบท็อกซ์ปลอม อาจเกิดการแพ้ ระคายเคือง หรือเกิดอันตรายต่อร่างกายได้
- เทคนิคการฉีดของแพทย์สำคัญมาก ใช่ว่ายาตัวเดียวกันจะให้ผลลัพธ์เหมือนกัน เทคนิคการฉีดที่ดีจะทำให้ผลลัพธ์ออกมาตามความต้องการ และมีความเป็นธรรมชาติ
- สุดท้าย คือ รางวัลการันตี เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ และความมั่นใจให้กับผู้ใช้บริการ ซึ่งทาง DSK ได้รับรางวัล 2021 Platinum Award for Xeomin ยอดผู้ใช้บริการโบท็อกซ์ Xeomin สูงสุดระดับประเทศจากบริษัท Merz ดังนั้น มั่นใจได้ว่าหากมาใช้บริการที่ DSK Clinic ต้องได้รับหัตถการที่ได้มาตรฐานและตัวยาแท้ อย่างแน่นอน
วิธีตรวจสอบโบท็อกซ์ปลอม
การฉีดโบท็อกซ์ ถือเป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน ทำให้มีโบท็อกซ์ให้เลือกหลากหลายยี่ห้อ อีกทั้งมีการแบ่งฉีดได้อีก ทำให้ปัญหาการใช้โบท็อกซ์ปลอม หรือโบท็อกซ์หิ้วเกิดตามมา หากฉีดโบท็อกซ์ปลอมเข้าไปอาจเกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ ดังนั้น หมอขอชวนมาดูวิธีตรวจสอบโบท็อกซ์กันดีกว่าว่า โบท็อกซ์จริงกับโบท็อกซ์ปลอมนั้น มีความแตกต่างกันอย่างไร?ยกตัวอย่าง การดูโบท็อกซ์ Nabota ของแท้ หรือโบท็อกซ์เกาหลีที่ได้รับความนิยม
- กล่องโบท็อกซ์ Nabota จะมี 2 รูปแบบ คือ กล่องสีดำ 100 ยูนิต และกล่องสีแดง 200 ยูนิต
- ตัวกล่องกระดาษจะมีสติกเกอร์สีทองปิดอยู่ ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีร่องรอยการถูกแกะหรือไม่
- ฝากล่องด้านข้างจะมีหมายเลข Lot การผลิตอยู่ โดย Lot หน้ากล่องกับตัวขวดจะต้องตรงกัน
- มีสติกเกอร์โฮโลแกรมติดอยู่ที่ฝากล่อง
- มีสติกเกอร์โฮโลแกรมติดอยู่ที่ข้างขวด
- บริเวณฝาขวด เมื่อเปิดออกมาจะมีฝาพลาสติกสีเทาอยู่อีก 1 ชั้น
- ตัวโบท็อกซ์จะมีลักษณะสีขาวขุ่น อยู่ล่างสุดของก้นขวด
- มี QR Code ให้สแกนตรวจสอบ Lot
อันตรายจากการฉีดโบท็อกซ์ลดกราม กับหมอกระเป๋า
นอกจากโบท็อกซ์ปลอม หรือโบท็อกซ์หิ้วที่เป็นปัญหาแล้ว การฉีดโบท็อกซ์กรามกับหมอกระเป๋า หรือผู้ที่ไม่เชี่ยวชาญในการฉีดโบท็อกซ์ อาจเกิดอันตรายต่อสุขภาพของตนเองอีกด้วย โดยอาจเกิดปัญหา ดังนี้
- คนไข้อาจมีอาการผิดปกติบริเวณที่ฉีด เช่น มีอาการปากเบี้ยว ตาแข็ง ตาตก หรืออาจเกิดการอักเสบติดเชื้อ
- คนไข้อาจมีอาการดื้อยา คือ การที่ร่างกายไม่ตอบรับกับสารที่ฉีดเข้าไป จนต้องเพิ่มปริมาณไปเรื่อยๆ เพื่อให้เห็นผล
- คนไข้อาจได้รับปริมาณสารที่มากเกินความจำเป็น ส่งผลให้ใบหน้ามีอาการบวม หรืออาจเกิดอันตรายถึงชีวิตได้
ความแตกต่างระหว่างโบท็อกซ์ ร้อยไหม และ Mesofat ลดกราม
เชื่อว่าหลายๆ คนที่มีปัญหาหน้าใหญ่ หน้าบ้าน คงกำลังมองหาทางเลือกระหว่างโบท็อกซ์กราม ร้อยไหม หรือจะเลือกเมโสแฟตลดกรามดี? วันนี้หมอขอมาสรุปความแตกต่างของ 3 สิ่งนี้อย่างละเอียดว่ามีข้อดีแบบไหน เหมาะกับผู้มีปัญหาแบบใด?
โบท็อกซ์ลดกราม
ฉีดโบลดกราม เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหน้าบาน หน้าดูอ้วน ซึ่งเกิดจากการที่มีกล้ามเนื้อกรามใหญ่จนเกินไป การทำงานของโบท็อกซ์นั้น จะออกฤทธิ์ในการยับยั้งการทำงานของระบบประสาท ทำให้การทำงานของกล้ามเนื้อกรามทำงานได้น้อยลง และมีขนาดเล็กลงเรื่องๆ ทำให้ใบหน้าดูเรียวเล็กยิ่งขึ้น
ร้อยไหมลดกราม
การร้อยไหมลดกราม ให้ทำความเข้าใจง่ายๆ ว่า การร้อยไหมทำเพื่อยกกระชับใบหน้า ทำให้ใบหน้าดูเรียวขึ้น ตึงขึ้น ยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย ให้กลับมาเต่งตึงอีกครั้ง ซึ่งการร้อยไหมจะใช้วิธีสอดเส้นไหมละลายเข้าไปในชั้นผิวหนังของเรา โดยมี ‘เงี่ยง’ ซึ่งเป็นตัวเกี่ยวเพื่อยึดเกาะกับชั้นผิวหนัง และยกให้ใบหน้ากระชับยิ่งขึ้น โดยการร้อยไหมยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน แล้วยังช่วยลดริ้วรอยได้อีกด้วย
Mesofat ลดกราม
เมโสแฟต (Mesofat) คือ การฉีดสารที่สกัดมาจากถั่วเหลือง วิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ โดยทำการฉีดเข้าไปที่ชั้นไขมัน เพื่อสลายไขมันบริเวณจุดที่ฉีดเข้าไป โดยสารสกัดของเมโสแฟตจะไปทำให้ผนังไขมันที่จับตัวกันอยู่นั้นแตกตัวออก ทำให้ไขมันที่เป็นก้อนๆ กลายเป็นไขมันเหลว และหลังจากนั้นร่างกายของเราจะทำการขับไขมันออกไปตามธรรมชาติ จึงทำให้ใบหน้าดูเรียว เล็กลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาโครงหน้าใหญ่ที่มาจากไขมัน
สามารถสรุปได้ว่าการทำโบท็อกซ์กราม การร้อยไหม และการทำ Mesofat ลดกรามนั้น ช่วยให้ใบหน้าดูเรียวได้ทั้งหมด สิ่งสำคัญคือการสำรวจปัญหาก่อนว่า มีต้นตอสาเหตุจากอะไร เป็นที่กล้ามเนื้อกรามใหญ่ หรือต้องการยกกระชับผิวหนังที่หย่อนคล้อย หรือเป็นเพราะมีไขมันสะสมจำนวนมาก
สรุป
การฉีดโบท็อกซ์กราม ถือเป็นวิธีที่สามารถช่วยแก้ปัญหาใบหน้าใหญ่ และหน้าบานได้ โดยการฉีดโบท็อกซ์ลดกราม สามารถเห็นผลชัดเจนภายใน 4 สัปดาห์ อีกทั้งโบท็อกซ์ที่นำมาฉีดก็ผลิตมาจากสารที่ปลอดภัย สามารถสลายไปเองได้ ดังนั้น การฉีดโบท็อกซ์ ถือว่าเป็นการทำหัตถการที่ปลอดภัย เพียงแต่ต้องเลือกคลินิกที่ต้องการฉีดโบท็อกซ์ให้ดีก่อน โดยทาง DSK Clinic มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พร้อมทั้งมีโบท็อกซ์คุณภาพหลากหลายแบรนด์ให้เลือกได้ตามสะดวก
รวมทุกคำถาม ฉีดโบท็อกซ์กรามที่คุณควรรู้
1. ฉีดโบท็อกซ์ ช่วยให้หน้าเรียวจริงไหม ?
จริง เนื่องจากโบท็อกซ์กรามทำให้กรามเล็กลงจากเดิม ทำให้ใบหน้าดูเรียว เล็กมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหากรามใหญ่ เมื่อฉีดโบลดกรามเข้าไป จะเริ่มเห็นผลชัดเจนหลังจากฉีดประมาณ 4 สัปดาห์
2. ฉีดโบท็อกซ์กรามเจ็บไหม ?
สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยฉีดโบท็อกซ์มาก่อน อาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อยในช่วงที่ฉีด โดยทาง DSK Clinic จะมีการประคบเย็นให้ก่อนแล้ว เพื่อให้อาการเจ็บลดน้อยลง
3. ฉีดโบท็อกซ์ลดกรามแล้วปากเบี้ยว เกิดจากอะไร ?
การฉีดโบท็อกซ์ลดกรามแล้วปากเบี้ยว อาจเกิดจากแพทย์ผู้ทำการฉีดไม่มีความเชี่ยวชาญมากพอ โดยโบท็อกซ์ที่ฉีดเข้าไปอาจไปโดนกล้ามเนื้อบริเวณมุมปาก หลังฉีดโบท็อกซ์ประมาณ 1-2 อาทิตย์ จะเห็นได้ว่าปากสองข้างดูไม่เท่ากัน
4. ฉีดโบท็อกซ์กรามแล้วหน้าตอบ จริงหรือไม่ ?
จริง ในกรณีคนไข้ทำการฉีดโบท็อกซ์ในปริมาณที่มากเกินไป หรือตำแหน่งสูงเกินไป โดยทีมแพทย์ที่ DSK Clinic จะทำการวิเคราะห์ และออกแบบเทคนิคก่อนฉีดให้เหมาะสมอยู่แล้วเลยไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ครับ คนไข้สามารถสบายใจได้ว่าจะมีใบหน้าที่สมบูรณ์พอดี ไม่หน้าตอบเกินไป เพราะก่อนเข้ารับบริการจะมีการประเมิน ฟังคำแนะนำจากคุณหมอโดยตรงว่าคนไข้ควรฉีดเพิ่มบริเวณไหน หรือควรทำอะไรเพิ่มเติมบ้าง