- Blog
- Custom Scar Planning
- July 16, 2023
อัพเดท 2024 รักษาหลุมสิว ด้วยเทคนิคล่าสุด ตามงานวิจัยฉบับหมอสกิน

หมอปอร์เช่
นพ. สราวุธ เหล่ากิจรุ่งโรจน์
แพทย์ผู้ก่อตั้ง DSK Clinic

สารบัญ
คุณหมอขอสรุป รวมเทคนิคการรักษาหลุมสิว อัพเดทตามงานวิจัยล่าสุด
– หลุมสิวเป็นหนึ่งในภาวะที่อาศัยความเชี่ยวชาญการรักษาสูง มีความซับซ้อน อาศัยทั้งแพทย์ที่เชี่ยวชาญ และเครื่องมือที่ได้มาตรฐาน มีงานวิจัยรองรับ – หลุมสิวมี 3 ประเภท คือ Rolling, Icepick และ Boxscar แต่ละประเภทอาศัยการรักษาที่ต่างกัน – การรักษาหลุมสิวที่มีประสิทธิภาพ คือการใช้เทคนิคแบบผสมผสาน ไม่ได้มีการรักษาเดียวที่ดีกับหลุมสิว – ที่ DSK ใช้เทคนิค Custom Scar Planning วางแผนการรักษาหลุมสิวเฉพาะบุคคลแบบ Tailored-Made เพราะปัญหาหลุมสิวของแต่ละคนต่างกัน ดังนั้นการรักษาที่ดีที่สุดจึงต่างกัน – การรักษาหลุมสิว Rolling Scar คือการเลเซอร์หรือคลื่นวิทยุเช่น Custom Potenza และ Custom Pico ร่วมกับการตัดพังผืดและการเติม Biostimulator เช่น Sculptra หรือ Radiesse โดยใช้เทคนิคจำเพาะ – การรักษาหลุมสิวแบบ Icepick Scar คือการใช้เลเซอร์หรือคลื่นวิทยุเช่น Custom Potenza และ Custom Pico ร่วมกับการกระตุ้นด้วยกรด TCA CROSS Technique – หลุมสิวแบบ Boxcar Scar อาจรักษาคล้ายกับ Rolling หรือ Icepick ขึ้นกับลักษณะของหลุม – นอกจากเครื่องมือที่ดีแล้ว ปัจจัยที่ทำให้การรักษาหลุมสิวได้ผลคือ เทคนิค เพราะแม้จะยาตัวเดียวกันหรือ เครื่องเดียวกัน แต่ผลลัพธ์จะขึ้นกับเทคนิคการรักษา ความเข้าใจ ใส่ใจ และการวางแผนเฉพาะบุคคล – DSK Clinic นอกจากเรื่องการยกกระชับ ปรับรูปหน้า งานผิว และฟิลเลอร์ เรายังมีการรักษาหลุมสิวเป็นอีกหนึ่ง Excellence Focus ที่รวมทั้งแพทย์ที่เชี่ยวชาญ เทคนิค และ เครื่องมือ และเทคนิคที่อัพเดทตามงานวิจัยไว้ที่เดียว |
หลุมสิวคืออะไร มีประเภทใดบ้าง ?
หลุมสิว คือ การที่เนื้อเยื่อตรงที่เคยเป็นหัวสิวอักเสบนั้นยุบลงจนกลายเป็นแผลเป็นจากสิว เพราะสิวที่อักเสบมีทั้งเชื้อแบคทีเรีย และหนองอยู่ ก่อให้เกิดเอนไซม์ที่ทำให้คอลลาเจน และเนื้อเยื่อโดยรอบถูกทำลาย กล่าวคือ ถ้าสิวอักเสบเม็ดเล็กก็จะทิ้งแผลเป็นขนาดเล็ก ส่วนถ้าเม็ดใหญ่ที่ลงลึกถึงผิวหนังชั้นในก็จะเกิดเป็นหลุมลึก และพังผืดตามมา มักพบได้บ่อยบริเวณหน้าแก้ม คาง หรือจมูก ส่วนใหญ่มักเป็นสิวเม็ดใหญ่ เช่น สิวหัวช้าง หรือสิวอุดตัน การใช้ Skincare เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอต่อการรักษา โดยหลุมสิวและแผลเป็นรูปแบบต่างๆ สามารถจำแนกออกได้ 5 ประเภท ดังนี้

1. Ice Pick Scar
หลุมสิวแบบ Ice Pick Scar เป็นหลุมสิวที่มีลักษณะเป็นหลุมลึกและปากหลุมแคบ ถือเป็นหลุมสิวที่มีความรุนแรงระดับสูงสุด และต้องใช้เวลาในการรักษาค่อนข้างนาน เพื่อให้รอยหลุมตื้นขึ้น
2. Boxcar Scar
หลุมสิวแบบ Baxcar Scar คือ หลุมสิวที่มีลักษณะเป็นบ่อ มีขนาดกว้าง ขอบหลุมสิวชัดเจน มีความลึกประมาณ 3 – 5 มิลลิเมตร ถือเป็นหลุมสิวที่รักษายากระดับปานกลาง โดยสาเหตุของหลุมสิวประเภทนี้ เกิดจากการเป็นสิวอักเสบในชั้นผิวหนัง และคนที่เป็นโรคอีสุกอีใส
3. Rolling Scar
หลุมสิวแบบ Rolling Scar มีฐานกว้าง ขอบหลุมสิวไม่ชัด มีลักษณะคล้ายคลื่น มักมีพังผืดใต้หลุม การรักษาด้วยการทำเลเซอร์อย่างเดียวจึงไม่เพียงพอ แนะนำให้ตัดพังผืดร่วมด้วย
4. Hypertrophic Scar
แผลเป็นแบบ Hypertrophic Scar มักพบได้บ่อยบริเวณหน้าอก แผ่นหลัง และใบหน้าได้เช่นกัน โดยมักมีลักษณะเป็นรอยแผลแบบนูน เหนือผิวปกติ และมีสีที่คล้ำกว่าสีผิวปกติ อาจเป็นสีดำหรือสีแดง ขนาดของแผลเป็นที่จะคงที่ ไม่เติบโตขยายใหญ่ไปจากขนาดเดิม ซึ่งหากขนาดคงที่จะเรียกว่า Hypertrophic scar หากมีการขยายขนาดขึ้น จะเรียกว่า Keloid scar
5. Keloid Scar
หลุมสิวแบบ Keloid Scar นั้น มักพบได้บ่อยบริเวณ หัวไหล่ ใบหู และติ่งหู มีลักษณะเป็นเม็ดนูน หรือก้อน ยืดหยุ่นได้ มักมีสีแดงแข็ง และในบางเคสอาจมีอาการคันร่วมด้วย ซึ่งแผลเป็นชนิดนี้สามารถขยายใหญ่ขึ้นได้
โดยสาเหตุหลัก เกิดจากการที่แผลเป็นมีการสร้างคอลลาเจนมากเกินกว่าปกติ ซึ่งตัว Keloid จะมีความคล้ายคลึงกับ Hypertrophic แต่ Keloid สามารถขยายขนาดได้ เหมือนเนื้องอกแผลเป็นประเภทหนึ่ง มีขอบเขตมากกว่าต้นกำเนิดของแผลเดิม ทำให้รักษาได้ยากมากกว่า
หลุมสิวแต่ละประเภทรักษาเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ?
ตามหลักการแพทย์และงานวิจัย ไม่มีวิธีรักษาหลุมสิวแบบไหนที่ “ดีที่สุด” สำหรับหลุมสิวทุกประเภทหัวใจสำคัญของการรักษาหลุมสิว คือการวิเคราะห์ประเภทของหลุมสิวอย่างละเอียด เพื่อเลือกเทคนิคการรักษาที่เหมาะสมที่สุดกับแต่ละบุคคล
ทีมแพทย์ DSK ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง ได้สรุปวิธีการรักษาหลุมสิวแต่ละประเภทที่ดีที่สุดในปัจจุบัน อัพเดทตามงานวิจัย ดังนี้
Rolling Scar
- การรักษาที่ได้ผลคือการเลเซอร์หรือ คลื่นวิทยุ เช่น Custom Potenza และ Custom Pico ร่วมกับการตัดพังผืดและการเติมตัวยา Biostimulator เช่น Sculptra หรือ Radiesse โดยใช้เทคนิคจำเพาะ
- การเลือกเลเซอร์ตัวไหนขึ้นกับลักษณะความรุนแรงของหลุม Custom Potenza จะเป็นเลเซอร์หรือคลื่นวิทยุที่สามารถกระตุ้นหลุมสิวได้ดีที่สุดในปัจจุบัน แต่ต้องปรับตั้งค่าพลังงาน และเลือกใช้หัวยิงที่เหมาะสม
Icepick Scar
- หลุมสิวแบบ Icepick Scar การรักษาที่ได้ผลคือการใช้เลเซอร์หรือคลื่นวิทยุเช่น Custom Potenza และ Custom Pico ร่วมกับการกระตุ้นด้วยกรด TCA CROSS Technique
- จากประสบการณ์ของทีมแพทย์ DSK เลือก Custom Potenza ในการรักษาเพราะสามารถกระตุ้นคอลลาเจนได้ลึก ช่วยในการทำให้ฐานหลุมสิวตื้นขึ้น
- Custom Pico จะดีในเรื่องการเกลี่ยปากขอบหลุมที่คมๆ ทั้งสองเครื่องนี้ สามารถให้ผลลัพธ์ได้เต็มประสิทธิภาพขึ้นกับเทคนิค ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการปรับค่าพลังงานเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามต้องการ
Boxcar Scar
- หลุมสิวแบบ Boxscar Scar อาจรักษาคล้าย Rolling หรือ Icepick ขึ้นอยู่กับลักษณะของหลุม

ตรวจสอบโปรโมชั่นและของสมนาคุณได้ทางแอดมิน


การรักษาแบบ Custom Scar Planning ที่ DSK Clinic ดียังไง
หยุดกังวลว่าจะรักษาหลุมสิวที่ไหนดี? Custom Scar Planning คือ เทคนิคการออกแบบการรักษาหลุมสิวเฉพาะบุคคล เป็นเทคนิคที่เกิดจากการรวมงานวิจัยเรื่องหลุมสิวทั่วโลก เพื่อให้สามารถนำเอาเทคนิคที่ดีเหล่านั้นมาออกแบบให้เหมาะกับปัญหาผิวหน้าของแต่ละคนได้อย่างเหมาะสมและดีที่สุด กล่าวคือ แม้ว่าจะมีการใช้อุปกรณ์เครื่องมือการรักษาเหมือนกัน แต่จะมีการวิเคราะห์ และวางแผนอย่างละเอียดให้เข้ากับปัญหาผิวของแต่ละบุคคล
โดย Custom Scar Planning ประกอบไปด้วย 4 เทคนิคหลัก ดังนี้
- Custom Analyse คือ การวิเคราะห์ปัญหา และวินิจฉัยโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านผิวหนังเพื่อตรวจสอบว่าหลุมสิวของแต่ละบุคคลว่าเป็นแบบไหน เนื่องจากหลุมสิวมีหลายประเภท และในแต่ละประเภทก็มีการรักษาที่แตกต่างกัน รวมถึงยังมีการวิเคราะห์ระดับความรุนแรง หรือความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ที่มีผลต่อการรักษาหลุมสิวหรือไม่ เช่น อาจมีโรคผิวหนังอื่นๆ ฝ้า และจุดด่างดำ เพราะทุกรายละเอียดมีผลต่อการวางแผนรักษาด้วยการทำเลเซอร์
- Custom Laser ขั้นตอนนี้ คือ การเลือกเลเซอร์ให้เหมาะสมกับประเภทของปัญหา ซึ่งเลเซอร์แต่ละตัวก็ให้ผลลัพธ์ในการรักษาที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะของหลุมสิวด้วย ดังนั้น จึงต้องตรวจสอบเพื่อให้ได้เลเซอร์ที่เหมาะสมกับปัญหาหลุมสิวที่เกิดขึ้น
- Custom Specific Scar Procedure เป็นขั้นตอนที่ต้องเลือกเทคนิคหรือหัตถการที่เฉพาะเจาะจงกับประเภทหลุมสิวนั้นๆ เพื่อให้การรักษาหลุมสิวแต่ละประเภทได้ผลสูงสุด
- Custom Technique คือ การปรับเทคนิค โดยขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล การใช้เลเซอร์ตัวเดียวกัน แต่ผลลัพธ์ที่ได้อาจออกมาไม่เหมือนกัน การตั้งค่าเลเซอร์จึงสำคัญมาก และเลเซอร์ไม่ใช่ทั้งหมดของการรักษาหลุมสิว แพทย์จะต้องทำการวิเคราะห์ และรักษาตามประเภทของหลุมสิวด้วย
การรักษาหลุมสิว-แผลเป็นจากสิว สามารถทำได้อย่างไรบ้าง
การรักษาหลุมสิวหรือแผลเป็นจากสิวนั้นไม่ได้มีเพียงวิธีเดียว เพราะหลุมสิวนั้นมีหลายประเภทมาก การรักษาจึงปรับเปลี่ยนไปตามประเภทของหลุมสิวหรือแผลเป็นนั้นๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี ซึ่งสามารถทำการรักษาด้วยวิธีใดบ้าง ไปดูพร้อมๆ กันเลย


1. การรักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์
การรักษาด้วยเลเซอร์ ถือเป็นวิธีที่เหมาะกับหลุมสิวหลายประเภท และเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยเลเซอร์มีทั้งชนิดลอกผิว และไม่ลอกผิว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนัง ที่จะทำการแนะนำให้เหมาะสมกับลักษณะหลุมสิวในแต่ละเคส หลักการของเลเซอร์ และคลื่นวิทยุในการรักษาหลุมสิว คือ กระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ถาวร โดยเลเซอร์แต่ละประเภทจะต่างกันที่การลงลึกที่ต่างกัน ระดับของแผลที่ต่างกัน
เลเซอร์ถือเป็นการรักษาที่ต้องมีในหลุมสิวทุกประเภท เพราะสามารถกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ถาวรได้ โดยเรียงลำดับตามความสามารถในการรักษาหลุมสิว ดีที่สุดคือ Potenza ตามมาด้วย Infini และ Picosecond Laser ในกรณีหลุมสิวไม่มาก การรักษาหลุมสิวโดยไม่ใช้เลเซอร์ เช่น การตัดพังผืดอย่างเดียว แต่ไม่ทำเลเซอร์ จึงไม่ใช่สิ่งที่หมอแนะนำ เพราะทำให้ขาดการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่
โดยเครื่องเลเซอร์มีหลายแบบที่นิยมใช้กัน ยกตัวอย่างเช่น
- Pico Laser คือ ข้อดีคือสามารถลดรอยแดง รอยดำ ของหลุมสิวร่วมด้วยได้ แต่ไม่เหมาะกับการเป็นการรักษาเดี่ยวในหลุมที่มีความลึกมาก
- Potenza คือ การรักษาโดยใช้คลื่นวิทยุ ในโหมด Monopolar ร่วมกับ Bipolar RF) ที่พลังงานลงถึงผิวลึก และ ชั้นตื้น ร่วมกัน เป็นเลเซอร์ที่มีการตั้งค่าได้หลากหลาย ผลลัพธ์จึงต้องอาศัยความเชี่ยวชาญในการปรับเทคนิค ซึ่งที่ DSK เป็นคลินิกที่มีประสบการณ์ จำนวนเคส และจำนวนเครื่อง Potenza สูงสุดในไทย
- Infini คือ การรักษาโดยใช้คลื่นวิทยุแบบ Fractional RF มีเข็มที่ลงถึงผิวชั้นตื้นและปล่อยพลังงานได้ตรงจุด กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนถาวร พยุงหลุมสิวให้ตื้นขึ้น
- e-Matrix, Venus Viva คือ Fractional RF รุ่นเก่า ที่ปล่อยพลังงานลงผิวชั้นตื้นได้ แต่ได้ผลไม่ชัดเจนในหลุมสิวที่เป็นมานาน หรือหลุมสิวที่ลึก
- eCO2, ActiveFx, Fraxel Repair เป็นชื่อเรียกการรักษากลุ่ม Fractional CO2 Laser ที่ใช้เลเซอร์ยิงโดยตรงไปบนผิว หวังผลกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว แต่พลังงานที่ค่อนข้างสูงกระทบบนผิวชั้นบนจึงมีโอกาสเกิดรอยดำสูงมาก
ข้อดี
- ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ถาวร ผลัดเซลล์ผิวเก่า และสร้างเซลล์ผิวใหม่
- กระตุ้นฐานหลุมใหม่ถาวร และดีกับหลุมหลายประเภท
- ผิวแลดูเรียบเนียนขึ้น ลดปัญหารูขุมขนกว้าง
ข้อเสีย
- มีเวลาพักฟื้นผิวที่อาจมีอาการแดงหรือชมพูหลังทำ โดยเลเซอร์สมัยใหม่มีเวลาพักฟื้นผิวที่น้อยลง และมีความแดงของผิวลดลง ก็อาจใช้เวลาไม่นาน
- ต้องเลี่ยงโดนแสงแดด เพราะอาจทำให้ผิวหมองคล้ำ และเป็นรอยได้ง่าย
2. การเซาะพังผืดใต้หลุมสิว
การเซาะพังผืดหรือ การเลาะพังผืด (Subcision) คือ การใช้เข็มลักษณะพิเศษที่สามารถสอดลงไปใต้ชั้นผิวหนัง เพื่อทำการเลาะ เซาะ หรือตัดพังผืดใต้ผิวหนังออก เหมาะกับผู้ที่เกิดปัญหาหลุมสิวมานานแล้ว มักเป็นหลุมสิวประเภท Rolling scar และ Box scar โดยการรักษาแบบนี้จะทำแบบเว้นระยะในการทำแต่ละครั้ง 3 – 6 สัปดาห์ เพื่อให้มีช่วงการสร้างคอลลาเจนมาเติมเต็มในช่องว่างที่ตัดพังผืดออก
ภายหลังการตัดพังผืดอาจมีการใช้กลุ่ม Cross-Linked Hyaluronic acid ในเทคนิคที่จำเพาะเพื่อลดการเกิดพังผืดใหม่ หรือใช้กลุ่ม Biostimulator เช่น Sculptra เพื่อกระตุ้นการเกิดคอลลาเจนใหม่ให้ดีขึ้น
ข้อดี
- เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังทำ สามารถทำร่วมกับการฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว หรือ Biostimulator เช่น Sculptra หรือ Radiesse ได้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีมากขึ้น
ข้อเสีย
- มีอาการบวม เขียว หรือช้ำได้ชั่วคราว
- ควรทำร่วมกับเลเซอร์ เพื่อให้เกิดการกระตุ้นเนื้อเยื่อใหม่ร่วมด้วย
- การตัดพังผืดมีหลายเทคนิค บางเทคนิคที่ใช้ในปัจจุบันไม่ได้ผล
3. การฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว
การฉีดฟิลเลอร์ (Fillers Injection) คือการนำสารไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) มาฉีดเพื่อเติมหลุมสิวให้ผิวดูเติมขึ้น นอกจากนี้ การฉีดฟิลเลอร์ยังช่วยทำให้ผิวฉ่ำวาว อิ่มน้ำ และดูชุ่มชื่นขึ้น
ข้อดี
- สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังทำเสร็จ
- ไม่ทิ้งรอยแผล ไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น
ข้อเสีย
- ต้องใช้หมอที่มีความชำนาญในด้านนี้ เพราะเคสที่มีปัญหาหลุมสิวแบบมีพังผืดนั้น หมอต้องให้เข็มเซาะพังผืดควบคู่ไปกับการฉีดฟิลเลอร์
- การฉีดฟิลเลอร์หลุมสิวอย่างเดียวจะได้ผลเพียงชั่วคราวเท่านั้น
4. การใช้ Biostimulator เช่น Sculptra หรือ Radiesse ในการรักษาหลุมสิว
การรักษาหลุมสิวตามงานวิจัยล่าสุด โดยการใช้ยาตัวใหม่คือ Sculptra (PLLA) หรือ Radiesse (CaHA) โดยตัวยาทั้ง 2 ชนิดนี้เมื่อมีการฉีดเข้าร่างกายจะทำการกระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งจะช่วยเติมเต็มริ้วรอยลึกให้ตื้นขึ้น ส่งผลให้มีการนำมาใช้ในการรักษาหลุมสิว โดยตัวยาทั้ง 2 ตัวนี้ได้รับความนิยมมายาวนานในต่างประเทศ ได้รับการรับรองจาก USFDA สหรัฐอเมริกา DSK เป็นเพียงไม่กี่คลินิกในไทยที่ให้บริการตัวยาในกลุ่มนี้ และได้รับรางวัล Top3 คลินิกที่มีเคสมากที่สุดในประเทศไทยโดย Biostimulator กลายเป็นตัวเลือกใหม่ที่น่าสนใจในการรักษาหลุมสิว ช่วยให้ข้อจำกัดของการรักษาลดลงและได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ทั้งนี้ควรเลือกรับบริการจากคลินิกที่รักษาหลุมสิวโดยตรง เพราะใช้เทคนิคที่ต่างจากการฉีดเพื่อลดอายุผิว และควรใช้ร่วมกับการรักษาหลัก เช่น เลเซอร์ หรือการตัดพังผืดหลุมสิว
ข้อดี
- เป็นการรักษาที่ได้ผลลัพธ์ดีมาก
- ในเคสที่ตอบสนองน้อยต่อการรักษาอื่น สามารถได้รับผลลัพธ์ที่ดีจากยากลุ่มนี้ได้
ข้อเสีย
- ใช้เทคนิคการรักษาที่ต่างจากการฉีดเพื่อกระตุ้นคอลลาเจนลดอายุผิว จึงควรรับบริการกับคลินิกที่รักษาหลุมสิวโดยตรง
- ควรรักษาร่วมกับการรักษาหลัก และการรักษาที่จำเพาะต่อหลุมสิวประเภทนั้นๆเช่นเลเซอร์ หรือการตัดพังผืดหลุมสิว
5. การใช้เข็ม Skin Needling (หรือ DermaPen)
การใช้เข็ม Skin Needling คือ การรักษาโดยการใช้เข็มที่มีขนาดเล็กมากแตะลงบนผิว เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อ สร้างคอลลาเจน และอิลาสตินของผิวใหม่ ทำให้ผิวซ่อมแซมและฟื้นฟูตัวเองได้เร็วขึ้น โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านผิวหนังจะทำการแทงเข็มลึกลงไปเล็กน้อย เพื่อให้เกิดผลที่ผิวหนังในชั้นลึกลงไป โดยจะลึกประมาณ 1.5 – 2 มิลลิเมตร ขึ้นอยู่กับหลุมสิวว่าลึกมากแค่ไหน โดยวิธีนี้ เป็นวิธีที่ ทีมแพทย์ DSK ไม่แนะนำ เพราะได้ผลน้อยมาก หวังผลคล้ายเลเซอร์คือกระตุ้นเนื้อเยื่อใหม่ และเนื่องจากไม่มีการใช้พลังงานร่วมด้วยทำให้ผลลัพธ์น้อยกว่าเลเซอร์มาก
ข้อดี
- ราคาถูก เครื่องมือราคาไม่แพง
- อาศัยเครื่องมือน้อย
ข้อเสีย
- ได้ผลน้อยมาก หรือไม่ได้ผลเลย หมอจึงไม่แนะนำ
- มีผลข้างเคียง เช่น หน้าบวม แดง และตกสะเก็ด
- ใช้เวลาในการพักฟื้น แต่อาจใช้เวลาสั้นกว่าการทำเลเซอร์
- เสี่ยงติดเชื้อได้ง่ายมาก หากทำในคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน


6. การใช้ RF
การใช้ RF หรือการใช้คลื่นวิทยุ มีลักษณะคล้ายๆ กับการใช้เลเซอร์ คือการปล่อยพลังงานให้เกิดความร้อนที่ชั้นผิว เพื่อกระตุ้นให้สร้างคอลลาจนที่ผิวชั้นล่าง ซึ่งในส่วนเครื่อง Fractional RF ก็จะมีความแตกต่างกันไปตามแต่ละแบบ เช่น
- eMatrix เป็นแบบปล่อยพลังงานจากผิวชั้นบน ไม่มีการใช้เข็มเพื่อส่งพลังงานไปยังชั้นลึก พลังงานจะแผ่จากผิวชั้นบนสุดลงด้านล่าง พลังงานเน้นลงด้านบนเป็นส่วนมาก แต่อาจลงลึกได้ไม่มากพอ ประสิทธิภาพการกระตุ้นคอลลาเจนที่ผิวชั้นลึกไม่ดีนัก ถือเป็นเครื่องยุคเก่าแล้ว
- Venus Viva เป็นแบบปล่อยพลังงานผ่านเข็มเล็กๆ เข็มสั้น 0.5 มิลลิเมตร ปรับความลึกไม่ได้ ซึ่งให้ผลลัพธ์ไม่ได้ต่างจาก eMatrix มากนัก
- Fractora เป็นเครื่องที่มีเข็ม แต่ปรับความลึกของเข็มไม่ได้ ประสิทธิภาพลงลึกได้ดีกว่า eMatrix และ Venus Viva และจำกัดความลึกประมาณ 1 มิลลิเมตร ใต้ผิว ทำให้ได้ผลดีไม่เท่ากับกลุ่มเครื่องที่ปรับความลึกได้ และเนื่องจากไม่มีฉนวนป้องกันผิว ทำให้เกิดสะเก็ดที่ผิวชั้นบนค่อนข้างเยอะ
- Infini เป็นแบบที่สามารถปรับความลึกของเข็มได้ และมีฉนวนหุ้มด้านบน ทำให้ผิวด้านบนไม่เสียหาย มี Downtime ที่ต่ำ โอกาสเกิดรอยดำน้อยกว่า เข็มปรับให้ลงลึกได้ตามต้องการ เหมาะสำหรับผิวของคนไข้ที่มีความหนาแตกต่างกัน หมอจะวิเคราะห์โครงสร้างผิวเพื่อปรับระดับความลึก และค่าพลังงานที่เหมาะสมในการกระตุ้นชั้นคอลลาเจน
- Potenza รูปแบบเดียวกับ Infini นอกจากการกระตุ้นคอลลาเจนเพื่อรักษาหลุมสิวแล้ว ยังเหนือกว่าที่สามารถปรับโหมดการส่งพลังงานได้สองรูปแบบ โดยรูปแบบ Monopolar ที่แผ่พลังงานทางกว้าง และลงชั้นลึกขึ้น ทำให้เกิดการยกกระชับ และสลายไขมันใต้ชั้นผิวได้ (ขึ้นกับการปรับพลังงาน) ได้ทั้งการรักษาหลุมสิว รูขุมขน ริ้วรอย และยกกระชับผิวได้พร้อมๆ กัน นอกจากนี้ ยังมีความทันสมัยที่เครื่องสามารถรับรู้ความต้านทานของผิว ทำให้ปล่อยพลังงานได้แม่นยำกว่า ทำให้ได้ผลลัพธ์เรื่องหลุมสิว รูขุมขนได้ดีที่สุดในปัจจุบัน
ข้อดี
- แนะนำ Potenza และ Infini มากที่สุดในปัจจุบัน สำหรับรักษาเรื่องหลุมสิว
- บางรุ่นสามารถกำหนดค่าพลังงานได้ หรือกำหนดความยาวเข็มได้ ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำมากขึ้น
ข้อเสีย
- ต้องใช้เวลาพักฟื้นผิวหน้า แต่เมื่อเทียบกับการรักษาแบบอื่น ถือว่าใช้เวลาสั้นกว่ามาก
7. การกินวิตามินรักษาสิว
วิธีกินวิตามินเพื่อรักษาหลุมสิวเป็นเพียงความเชื่อที่ว่าวิตามินจะช่วยรักษาเซลล์จากภายใน แต่ที่แท้จริงแล้ว หลุมสิวเป็นลักษณะที่เกิดขึ้นทางกายภาพบนผิวหนัง วิตามินไม่สามารถเข้าไปช่วยซ่อมแซม หรือเติมเต็มหลุมสิวให้ตื้นขึ้นได้
ข้อดี
- ไม่ทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บ ไม่ต้องมีเวลาพักฟื้น
- ราคาไม่สูงมาก
ข้อเสีย
- ไม่เห็นผลเลย
8. การผ่าตัดหลุมสิว
การผ่าตัดหลุมสิว (Punch Excision) เป็นวิธีการรักษาที่จะใช้เครื่องมือผ่าตัดขนาดเล็ก ประมาณ 2 – 3 มิลลิเมตร ตัดบริเวณที่เป็นหลุมสิวออก แพทย์จะทำการดึงเนื้อรอบๆ ทั้ง 2 ข้างที่เป็นผิวปกติมาเย็บติดกัน วิธีนี้จะเหมาะกับหลุมสิวประเภท Ice pick scar ที่เกิดปัญหาหลุมสิวมานานแล้ว และหลุมสิวประเภท Box scar แต่ต้องมีขอบกว้างไม่เกิน 3 มิลลิเมตร เพราะถ้าหากหลุมสิวใหญ่ หลังผ่าตัดอาจทำให้เกิดแผลเป็นที่ไม่สวยงามได้ หรือหลุมสิวประเภทที่ไม่ตอบสนองกับการรักษาแบบอื่นๆ
ข้อดี
- เป็นการรักษาที่เห็นผลได้ชัดเจน เพราะมีการทำลายพังผืดที่เป็นสาเหตุของหลุม และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนทำให้หลุมถูกเติมเต็มขึ้น
ข้อเสีย
- ใช้เวลาในการพักฟื้น และต้องดูแลตัวเองเป็นอย่างดี
- หลังจาก 2 สัปดาห์ ต้องกลับไปตัดไหมที่เย็บแผล ซึ่งทำให้เกิดเป็นรอยเส้นตรง และต้องใช้เวลาประมาณ 2 เดือน รอยเส้นตรงถึงจะดีขึ้น แต่หมอจะเลือกทำเฉพาะเคสเท่านั้น
- หลังผ่าตัดต้องหลีกเลี่ยงแสงแดดประมาณ 2 สัปดาห์ ไม่เหมาะกับคนที่ต้องใช้งานผิวหน้าเร่งด่วน
- ห้ามโดนน้ำอย่างน้อย 3 วัน หลังผ่าตัด ซึ่งอาจทำให้รู้สึกระคายเคืองได้
9. การรักษาหลุมสิวด้วยการกรอหน้า
การรักษาหลุมสิวด้วยการกรอหน้า (Dermabrasian) เป็นวิธีการรักษาหลุมสิวด้วยการผลัดเซลล์ผิว โดยการใช้เกล็ดอัญมณีขนาดเล็ก เพื่อสร้างบาดแผลเล็กๆ และให้ร่างกายกระตุ้นคอลลาเจนขึ้น มักใช้กับหลุมสิวประเภท Rolling Scar หรือ Box Scar ถือเป็นวิธีการรักษาที่ต้องอาศัยแพทย์ที่มีความชำนาญในการกรอผิวหน้าส่วนที่เป็นแผลเป็นออก เพื่อสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาทดแทน ซึ่งจะทำให้ลดรอยสิวหลุมสิว และแผลเป็นได้ รวมถึงลดจุดด่างดำ ทำให้ผิวหน้าดูเรียบเนียนมากขึ้น โดยผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับความชำนาญของแพทย์ และโดยทั่วไปจะทำต่อเนื่อง 8 – 10 ครั้ง ขึ้นอยู่กับผิวหน้าของแต่ละเคส อย่างไรก็ตาม การรักษาด้วยวิธีนี้เป็นแบบเก่า ปัจจุบันไม่แนะนำแล้ว เพราะได้ผลน้อยมาก หมอขอแนะนำการให้รักษาด้วยการใช้เลเซอร์ หรือคลื่นวิทยุแทน
ข้อดี
- ไม่ค่อยเกิดความรู้สึกเจ็บ
- ช่วยผลัดเซลล์ผิวใหม่ เพิ่มความกระจ่างใสให้ผิวหน้า ทำให้หน้าไม่หมองคล้ำ
ข้อเสีย
- ได้ผลน้อยมาก จนถึงไม่ไ่ด้ผลเลย
- อาจมีผลข้างเคียง เช่น มีการระคายเคืองผิว หรือรอยแดงได้
- ต้องเลี่ยงแสงแดด เพราะอาจทำให้เกิดรอยดำได้
10. การใช้กรดลอกผิว
การใช้กรดลอกผิว (Chemical Peeling) คือ การทำให้เซลล์ผิวหน้าหลุดลอกออกมา โดยใช้สารเคมีที่มีฤทธิ์เป็นกรดที่มีความเข้มข้นต่างกัน โดยแบ่งชั้นผิวออกได้เป็น 3 ระดับ
- ชั้นหนังกำพร้า สารที่ใช้ เช่น Glycolic Acid, Lactic Acid, Salicylic Acid ในความเข้มข้นต่ำ เป็นต้น โดยจะใช้ในระดับเปอร์เซ็นต์ที่ต่างกัน
- ชั้นหนังแท้ชั้นตื้น สารที่ใช้ เช่น Trichloroacetic acid (TCA) ในความเข้มข้นต่ำ เป็นต้น
- ชั้นหนังแท้ชั้นลึก สารที่ใช้ เช่น Phenol และ TCA ในความเข้มข้นที่สูงขึ้น เป็นต้น
ข้อดี
- เหมาะกับการลอกในชั้นหนังกำพร้า ปัญหาตื้นๆ เช่น รอยดำตื้นๆ
- ปัจจุบันจะใช้เฉพาะจุด และใช้กับหลุมสิวบางประเภทเท่านั้น เช่น TCA CROSS Technique และไม่มีการใช้ทั่วหน้าเพื่อรักษาหลุมสิว
ข้อเสีย
- การลอกในชั้นหนังแท้ ไม่แนะนำในคนไทย เพราะโอกาสเกิดรอยดำ และแผลเป็นหลังทำสูง ยกเว้นการใช้เทคนิค TCA CROSS ในหลุมบางประเภท
- อาจเกิดผลข้างเถียงได้ เช่น ผิวแดง คันแสบ หรือระคายเคืองในช่วงแรกจากการกัดกร่อน
- การใช้กรดลอกผิว อาจทำให้เสี่ยงส่งผลเสียต่อหัวใจ ไต หรือตับได้ หากไม่ได้รับการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านผิวหนัง
เลือกคลินิกรักษาหลุมสิวที่ไหนดี
การรักษาหลุมสิวในแต่ละคลินิกให้ผลลัพธ์ที่ต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับวิธีรักษาและเทคนิคเฉพาะของแพทย์ ว่ามีความเชี่ยวชาญในการรักษาหลุมสิวหรือไม่ หากต้องการรักษาหลุมสิวให้ออกมามีผลลัพธ์น่าพอใจ ที่ DSK Clinic สามารถทำได้ เพราะที่นี่มีการรักษาหลุมสิว หรือหัตถการอื่นๆ ที่แตกต่างจากที่อื่น และเป็นจุดเด่น
บางปัญหาต้องใช้ยา บางปัญหาต้องใช้หัตถการอื่นๆ เพราะฉะนั้นการวางแผนการรักษาจึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญ เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพมากที่สุด
ออกแบบการรักษาเฉพาะบุคคล ตามงานวิจัย รวมเครื่องมือที่ดีที่สุด ระดับ Gold Standard เข้ากับแพทย์เชี่ยวชาญและเข้าใจ
ทำไม DSK Clinic ถึงรักษาหลุมสิวได้ผลลัพธ์ดีกว่า?
- Tailored-Made
ออกแบบการรักษา “เฉพาะบุคคล” ตามประเภทของหลุมสิว เลือกเทคนิคที่เหมาะสม ผสมผสานเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เพราะหลุมสิวของแต่ละคนต่างกัน การออกแบบการรักษาเฉพาะบุคคลจึงจะให้แผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุด เพราะไม่มีการรักษาใด การรักษาหนึ่งที่ดีกับหลุมสิวทุกประเภท
- World – Class Laser and Treatment
รวมเครื่องมือระดับโลกไว้ที่เดียว ทั้งเลเซอร์หลายชนิด หัตถการฉีดกระตุ้นเนื้อเยื่อใหม่ เทคนิคการตัดพังผืด และการรักษาหลุมสิวเฉพาะประเภท อัพเดทตามงานวิจัยระดับโลก เพราะการรักษาหลุมสิวแต่ละคนต่างกัน คลินิกที่ดีจึงควรมีเลเซอร์และเครื่องมือหลากหลายเพื่อตอบโจทย์ปัญหาที่ต่างกัน
- แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และเทคนิค
ที่ DSK เราคัดเลือก ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและเลเซอร์ ที่เข้าใจปัญหาเรื่องหลุมสิว มีประสบการณ์ในการรักษา มีความสนใจด้านหลุมสิว มีความใส่ใจและมีการอัพเดทความรู้และเทคโนโลยีใหม่ๆ เสมอ เพื่อรองรับการรักษาหลุมสิวที่มีคุณภาพ เพราะการรักษาหลุมสิวเป็นการรักษาที่ซับซ้อน อาศัยเครื่องมือที่หลากหลาย และแพทย์จึงเป็นปัจจัยสำคัญต่อการรักษาเป็นอย่างมาก
นอกจากนั้นแม้จะเป็นการรักษาเดียวกัน เลเซอร์ตัวเดียวกันแต่เทคนิคเป็นเรื่องที่สำคัญ เครื่องเดียวกันแต่เทคนิคต่างกัน ก็ทำให้เกิดผลลลัพธ์ที่ต่างกัน ที่ DSK จึงให้ความสำคัญกับเทคนิค ปรับเทคนิคเฉพาะบุคคล ผ่านการอัพเดทเทคนิคจากทั่วโลกเพื่อให้เทคนิคที่ดีและเหมาะกับหลุมสิวที่มีลักษณะต่างกัน


รีวิวการรักษาหลุมสิวที่ DSK Clinic








บรรยากาศภายใน DSK Clinic








ช่องทางการติดต่อ DSK Clinic
DSK Clinic มีทีมแพทย์คอยแนะนำ และให้คำปรึกษาฟรี แอดไลน์ปรึกษา หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้
ปรึกษาแพทย์ DSK Clinic เพื่อรับแผนการรักษาหลุมสิวที่เหมาะกับคุณ
Facebook: https://www.facebook.com/dsk.clinic/
Instagram: https://www.instagram.com/dsk.clinic/
YouTube: https://www.youtube.com/@dskclinic
TikTok: https://www.tiktok.com/@dskclinic
ติดตามโปรโมชั่นอื่นๆได้ที่นี่ dskclinic.com/promotion
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการรักษาแผลเป็นจากสิว (FAQ)
มีข้อสงสัยมากมายเกี่ยวกับการรักษาหลุมสิว โดยเราได้รวบรวมคำถามที่ได้ถามเข้ามาบ่อยสำหรับการรักษาแผลเป็นจากสิวมาไว้ตรงนี้
ไขข้อสงสัย หลุมสิวหายเองได้ไหม
ถ้าถามว่าหลุมสิวหายเองได้ไหม หมอต้องบอกเลยว่าหลุมสิวไม่หายเอง และไม่สามารถรักษาได้ด้วย Skin Care หากไม่ได้รับการรักษา หลุมสิวหรือแผลเป็นจะอยู่ไปตลอด
ระยะเวลาในการรักษาด้วยโปรแกรม Custom Scar นานไหม
ระยะเวลาในการรักษาจะขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของแต่ละเคส และแต่ละสภาพผิว โดยปกติการรักษาหลุมสิวต้องใช้เวลา 4-6 เดือน ขึ้นไป
หลังการรักษาแล้วจะกลับมาเป็นหลุมสิวอีกหรือไม่
หลุมสิวที่ดีขึ้นแล้วจะดีขึ้นเลย แต่ควรป้องกันสิวใหม่ตามแพทย์แนะนำ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดหลุมสิวใหม่ โดยปกติแพทย์ที่ DSK จะแนะนำการรักษาหลุมสิว การป้องกันหลุมสิวใหม่ และป้องกันการเกิดสิวใหม่ไปพร้อมกัน เพราะไม่ต้องการให้คนไข้กลับมามีหลุมสิวใหม่


สรุป
หลุมสิวเป็นปัญหาที่ใครหลายๆ คนอาจจะได้พบเจอ ซึ่งเป็นปัญหาที่ยากเพราะมีความซับซ้อน มีรายละเอียดค่อนข้างมาก ซึ่งก่อนจะได้รับการรักษาหลุมสิว จะต้องมีการแยกประเภทหลุมสิวก่อน เพื่อเลือกใช้วิธีการรักษาหลุมสิวที่เหมาะกับกับหลุมสิวประเภทนั้น เพราะหลายคนที่รักษาหลุมสิวมานานแต่ไม่ได้ผล อาจเกิดจากการรักษาผิดวิธี หรือการเลือกคลินิกรักษาหลุมสิวที่ไม่ได้มาตรฐาน
การรักษาหลุมสิวสามารถทำได้หลายรูปแบบตามที่ได้ยกตัวอย่างไปในบทความ ซึ่งแต่ละวิธีก็มีข้อดีข้อเสียต่างกันเพราะฉะนั้นควรเลือกปรึกษาแพทย์ และคลินิก เพื่อ วางแผนหาวิธีที่เหมาะสมกับปัญหาหลุมสิวของตัวเอง สำหรับที่ DSK Clinic แพทย์ทุกคนในทีมมีความเชี่ยวชาญในการรักษาหลุมสิวโดยเฉพาะ มีความละเอียดและใส่ใจในการรักษา มีเครื่องมือ และเลเซอร์ที่ดีเพียงพอ สามารถให้คำปรึกษา และมีการอัปเดตการรักษาหลุมสิว เพื่อให้เป็นการรักษาที่ดีที่สุด กับผู้ที่ประสบปัญหาหลุมสิวทุกคน
บทความที่เกี่ยวข้อง
1. Rejuran หลุมสิว ตัวช่วยลดรูขุมขน ปรับผิวให้เรียบเนียน
2. รักษาหลุมสิวให้หายขาดด้วยแผน Custom Scar
3. เลเซอร์หลุมสิว เผยหน้าเนียนใส ไม่ต้องรอ
4. 3 เคล็ด (ไม่) ลับในการรักษาหลุมสิว
5. PRP หลุมสิวได้ผลหรือไม่