- Blog
- Custom Skin Quality
- July 11, 2025
สกินแคร์มีอะไรบ้าง? เปิดคัมภีร์เลือกใช้บำรุงผิวใสอย่างมือโปร

หมอปอร์เช่
นพ. สราวุธ เหล่ากิจรุ่งโรจน์
แพทย์ผู้ก่อตั้ง DSK Clinic

สารบัญ
การเดินเข้าสู่โลกของสกินแคร์อาจทำให้หลายคนรู้สึกสับสน ด้วยผลิตภัณฑ์มากมายที่วางเรียงรายเต็มไปหมด ตั้งแต่คลีนเซอร์ โทนเนอร์ ไปจนถึงเซรั่มและแอมพูล จนเกิดคำถามว่า สกินแคร์มีอะไรบ้าง? แล้วแต่ละชนิดจำเป็นต่อผิวของเราจริง ๆ หรือไม่? การเลือกใช้สกินแคร์อย่างถูกต้องเปรียบเสมือนการมีผู้เชี่ยวชาญส่วนตัวที่ช่วยดูแลให้ผิวของคุณสุขภาพดีและเปล่งประกาย
บทความนี้ หมอจะขอเป็นไกด์พาทุกคนไปทำความรู้จักสกินแคร์แต่ละประเภทอย่างละเอียด พร้อมไขทุกข้อสงสัยและมอบเทคนิคการเลือกใช้ให้เหมาะกับสภาพผิวของคุณ เพื่อสร้างผลลัพธ์ผิวสวยใสได้อย่างยั่งยืนครับ
สกินแคร์ (Skincare) คืออะไร ทำไมถึงเป็นหัวใจสำคัญของผิวสุขภาพดี?
สกินแคร์ (Skincare) ไม่ใช่เพียงแค่ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว แต่คือ “กระบวนการดูแลผิว” ทั้งหมด เพื่อรักษาความแข็งแรง เสริมเกราะป้องกันผิวให้ทนทานต่อปัจจัยทำร้ายภายนอกอย่างมลภาวะและแสงแดด พร้อมทั้งฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาผิวที่เรากังวล ไม่ว่าจะเป็นสิว ริ้วรอย หรือจุดด่างดำ การมีสกินแคร์รูทีนที่ดีและสม่ำเสมอจึงเป็นหัวใจสำคัญของการมีผิวพรรณที่ดูสุขภาพดีในระยะยาวครับ
รู้จักประเภทสกินแคร์หลักตามหน้าที่
เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น เราสามารถแบ่งสกินแคร์ออกเป็น 4 กลุ่มหลักตามหน้าที่การทำงานของมันครับ
กลุ่มทำความสะอาด
นี่คือขั้นตอนพื้นฐานที่สำคัญที่สุด มีหน้าที่ขจัดสิ่งสกปรก เครื่องสำอาง ครีมกันแดด และความมันส่วนเกินออกจากผิว เพื่อป้องกันการอุดตันและเตรียมผิวให้พร้อมรับการบำรุงในขั้นตอนต่อไป ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้คือ เมคอัพรีมูฟเวอร์ และคลีนเซอร์
กลุ่มเตรียมผิวและบำรุง
หลังจากทำความสะอาดแล้ว ผิวของเราจะพร้อมรับการบำรุงอย่างเต็มที่ สกินแคร์กลุ่มนี้จะช่วยปรับสมดุลค่า pH ของผิว เติมความชุ่มชื้น และส่งมอบสารออกฤทธิ์ (Active Ingredients) เพื่อแก้ปัญหาผิวโดยตรง เช่น โทนเนอร์, เอสเซนส์, เซรั่ม และมอยส์เจอไรเซอร์
กลุ่มปกป้องผิว
เป็นขั้นตอนสำคัญในตอนเช้าที่ขาดไม่ได้เด็ดขาด มีหน้าที่สร้างเกราะป้องกันผิวจากรังสี UV ในแสงแดด ซึ่งเป็นตัวการหลักที่ทำลายคอลลาเจนและก่อให้เกิดริ้วรอย ฝ้า กระ และความหมองคล้ำ ผลิตภัณฑ์หลักในกลุ่มนี้ก็คือ “ครีมกันแดด” นั่นเอง
กลุ่มดูแลเฉพาะจุด
สกินแคร์กลุ่มนี้ถูกออกแบบมาเพื่อจัดการปัญหาเฉพาะส่วนอย่างตรงจุด มีความเข้มข้นและคุณสมบัติที่เหมาะกับบริเวณนั้นๆ เช่น ครีมทารอบดวงตา (Eye Cream) หรือยาแต้มสิว (Spot Treatment)
เจาะลึก! สกินแคร์แต่ละชนิด มีอะไรบ้าง? ช่วยเรื่องอะไรโดยเฉพาะ?

เมื่อรู้จักกลุ่มหลัก ๆ แล้ว เรามาเจาะลึกกันดีกว่าว่าในชีวิตประจำวันนั้น สกินแคร์ที่เราเจอบ่อย ๆ มีอะไรบ้าง และแต่ละตัวทำหน้าที่อะไรกันแน่
1. เมคอัพรีมูฟเวอร์ (Makeup Remover)
เป็นขั้นตอนแรกสุดของการทำความสะอาดผิวในตอนเย็น มีหน้าที่ละลายและเช็ดเครื่องสำอางรวมถึงครีมกันแดดชนิดกันน้ำออกจากผิว การใช้รีมูฟเวอร์ก่อนล้างหน้าจะช่วยให้คลีนเซอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดการอุดตันได้ดีมากครับ
2. คลีนเซอร์ (Cleanser)
ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบเจล โฟม หรือครีม มีหน้าที่ทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่หลงเหลืออยู่ ความมัน และฝุ่นละอองที่ผิวหน้าต้องเผชิญมาตลอดทั้งวัน ควรเลือกใช้ให้เหมาะกับสภาพผิวเพื่อไม่ให้ผิวแห้งตึงหรือมันจนเกินไปหลังล้าง
3. โทนเนอร์ (Toner)
หลังจากล้างหน้า โทนเนอร์จะช่วยปรับสมดุลค่า pH ของผิว เช็ดทำความสะอาดสิ่งตกค้างที่อาจหลงเหลือในรูขุมขนเป็นขั้นตอนสุดท้าย และยังช่วยเตรียมผิวให้พร้อมรับการบำรุงจากสกินแคร์ตัวอื่น ๆ ที่จะทาในลำดับถัดไป
4. เอสเซนส์ (Essence) หรือที่เรียกว่า “น้ำตบ”
เอสเซนส์คือสกินแคร์บำรุงผิวขั้นตอนแรกๆ ที่มีเนื้อสัมผัสบางเบาคล้ายน้ำ มีหน้าที่หลักในการเติมความชุ่มชื้นอย่างล้ำลึกและเตรียมผิวให้ฟูพร้อมรับสารบำรุงที่มีความเข้มข้นสูงกว่าอย่างเซรั่มได้อย่างเต็มที่
5. เซรั่ม (Serum) และแอมพูล (Ampoule)
เปรียบเสมือน “อาหารจานหลัก” ของผิว เซรั่มมีโมเลกุลขนาดเล็กและอัดแน่นไปด้วยสารออกฤทธิ์ (Active Ingredients) ที่มีความเข้มข้นสูง ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาผิวเฉพาะทาง เช่น เซรั่มวิตามินซีเพื่อความกระจ่างใส หรือเซรั่มเรตินอลเพื่อลดริ้วรอย ส่วนแอมพูลจะมีความเข้มข้นสูงกว่าเซรั่ม มักใช้บำรุงแบบเร่งด่วนเป็นครั้งคราว
6. มอยส์เจอไรเซอร์ (Moisturizer)
เป็นสกินแคร์ที่จำเป็นสำหรับทุกสภาพผิว มีหน้าที่สำคัญในการเติมความชุ่มชื้น และสร้างฟิล์มบาง ๆ เคลือบผิวไว้ เพื่อ “ล็อก” ความชุ่มชื้น และสารบำรุงต่าง ๆ ไม่ให้ระเหยออกจากผิว ช่วยให้เกราะป้องกันผิวแข็งแรง
7. ครีมกันแดด (Sunscreen)
หมอขอย้ำว่าเป็นสกินแคร์ที่สำคัญที่สุดและห้ามขาดในตอนเช้า มีหน้าที่ปกป้องผิวจากรังสี UVA และ UVB ซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหาผิวแทบทุกชนิด ตั้งแต่ริ้วรอยก่อนวัย ฝ้ากระ จุดด่างดำ ไปจนถึงมะเร็งผิวหนัง
8. ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว (Exfoliator)
ทำหน้าที่ขจัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วออกไป เพื่อเผยผิวใหม่ที่กระจ่างใสและเรียบเนียนขึ้น มีทั้งแบบกายภาพ (Physical) เช่น สครับ และแบบเคมี (Chemical) เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA, BHA ซึ่งจะอ่อนโยนกว่า และได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน
9. มาสก์ (Mask)
เป็นการบำรุงผิวแบบเข้มข้นเร่งด่วน มีหลากหลายรูปแบบทั้งแผ่นมาสก์ (Sheet Mask) สำหรับเติมความชุ่มชื้น, มาสก์โคลน (Clay Mask) สำหรับดูดซับความมัน, หรือสลีปปิ้งมาสก์ (Sleeping Mask) สำหรับฟื้นฟูผิวข้ามคืน
10. ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวรอบดวงตา (Eye Cream/Serum)
ผิวรอบดวงตามีความบอบบางเป็นพิเศษ จึงต้องการการดูแลที่จำเพาะ อายครีมถูกออกแบบมาให้มีเนื้อสัมผัสที่เหมาะสมและมีส่วนผสมที่ช่วยลดปัญหาริ้วรอย ความหมองคล้ำ และถุงใต้ตาโดยเฉพาะ
11. ผลิตภัณฑ์แต้มสิว (Spot Treatment)
เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้เฉพาะจุดบริเวณที่เป็นสิวอักเสบ มักมีส่วนผสมที่ช่วยลดการอักเสบ ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และทำให้สิวยุบตัวเร็วขึ้น เช่น Salicylic Acid, Benzoyl Peroxide
เลือกสกินแคร์อย่างไรให้ “ใช่” และ “ได้ผลลัพธ์ดี” ที่สุดสำหรับผิวคุณ

การรู้จักประเภทของสกินแคร์เป็นเพียงจุดเริ่มต้น การเลือกให้ “ใช่” สำหรับเรานั้นต้องพิจารณาปัจจัยอื่นร่วมด้วยครับ
ขั้นตอนที่ 1 รู้จักสภาพผิวของตัวเอง
นี่คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุดครับ เพราะผิวแต่ละประเภทต้องการการดูแลที่ต่างกัน โดยทั่วไปผิวแบ่งเป็น 5 ประเภทหลัก ได้แก่ ผิวมัน (รูขุมขนกว้าง ผิวมันวาวง่าย), ผิวแห้ง (ผิวลอกเป็นขุย รู้สึกตึงหลังล้างหน้า), ผิวผสม (มันบริเวณ T-Zone แต่แห้งบริเวณแก้ม), ผิวธรรมดา (มีความสมดุล ไม่มันไม่แห้งเกินไป) และ ผิวแพ้ง่าย (เกิดรอยแดง ผื่น หรืออาการคันได้ง่าย)
ขั้นตอนที่ 2 ระบุปัญหาผิวที่ต้องการแก้ไข
คุณกังวลเรื่องอะไรเป็นพิเศษ? การระบุปัญหาหลักจะช่วยให้คุณเลือกสกินแคร์ที่มีสารออกฤทธิ์ที่ตรงจุดได้ เช่น หากกังวลเรื่องสิว ให้มองหา BHA, หากกังวลเรื่องริ้วรอย ให้มองหา Retinoids หรือ Peptides, หากกังวลเรื่องจุดด่างดำ ให้มองหา Vitamin C หรือ Niacinamide การเลือกที่ตรงจุดจะช่วยให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีกว่าการใช้สกินแคร์ตามกระแสครับ
ขั้นตอนที่ 3 อ่านส่วนผสม (Ingredients) ให้เป็น
ลองพลิกดูฉลากด้านหลังผลิตภัณฑ์สักนิด การรู้จักชื่อสารออกฤทธิ์ที่ตอบโจทย์ปัญหาผิวจะช่วยให้คุณเลือกของได้ดีขึ้น ขณะเดียวกันก็ควรมองหาส่วนผสมที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองที่ควรหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะคนผิวแพ้ง่าย เช่น แอลกอฮอล์บางชนิด, น้ำหอม, หรือสีสังเคราะห์
ขั้นตอนที่ 4 ทดสอบผลิตภัณฑ์ก่อนใช้จริง
ก่อนจะใช้สกินแคร์ตัวใหม่กับใบหน้า ควรทำ Patch Test ก่อนเสมอ เพื่อทดสอบอาการแพ้ โดยทาผลิตภัณฑ์ปริมาณเล็กน้อยบริเวณท้องแขนหรือหลังใบหู ทิ้งไว้ 24-48 ชั่วโมง หากไม่มีอาการผิดปกติ เช่น ผื่นแดง คัน หรือบวม ก็สามารถนำมาใช้กับใบหน้าได้ครับ
ขั้นตอนที่ 5 เรียงลำดับการลงสกินแคร์ให้ถูกต้อง
หลักการง่าย ๆ คือ “เรียงจากเนื้อบางเบาที่สุดไปหาเนื้อหนักที่สุด” เพื่อให้สกินแคร์แต่ละตัวซึมซาบสู่ผิวได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ยกตัวอย่างเช่น
- ตอนเช้า : คลีนเซอร์ → โทนเนอร์ → เอสเซนส์/เซรั่ม → มอยส์เจอไรเซอร์ → ครีมกันแดด
- ตอนเย็น : เมคอัพรีมูฟเวอร์ → คลีนเซอร์ → โทนเนอร์ → เอสเซนส์/เซรั่ม/แอมพูล → มอยส์เจอไรเซอร์
ข้อควรระวังในการใช้สกินแคร์
เพื่อให้การใช้สกินแคร์ปลอดภัยและได้ผลดีที่สุด มีข้อควรระวังเล็กน้อยที่หมออยากฝากไว้ครับ
- ปริมาณที่เหมาะสม : การใช้สกินแคร์มากเกินไปไม่ได้ทำให้เห็นผลเร็วขึ้น แต่อาจทำให้ผิวอุดตันได้ ควรใช้ในปริมาณที่แนะนำ เช่น มอยส์เจอไรเซอร์ขนาดเท่าเหรียญบาท หรือเซรั่ม 2-3 หยด ก็เพียงพอทั่วใบหน้า
- ความสม่ำเสมอคือหัวใจ : การทาสกินแคร์อย่างสม่ำเสมอทุกวันสำคัญกว่าการใช้ผลิตภัณฑ์ราคาแพงเป็นครั้งคราว
- ผิวต้องการเวลา : อย่าเพิ่งด่วนตัดสินว่าผลิตภัณฑ์ไม่ได้ผลภายในสัปดาห์แรก โดยทั่วไปผิวหนังต้องการเวลาอย่างน้อย 28 วัน ในการเปลี่ยนแปลงและแสดงผลลัพธ์
- สังเกตสัญญาณเตือน : หากใช้ผลิตภัณฑ์แล้วเกิดอาการแสบ คัน มีผื่นแดง หรือสิวเห่อขึ้นผิดปกติ ควรหยุดใช้ทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณของการแพ้หรือการระคายเคือง
สรุป การเลือกสกินแคร์ที่ใช่ คือการลงทุนเพื่อผิวสวยสุขภาพดีในระยะยาว
การเข้าใจว่า สกินแคร์มีอะไรบ้าง และแต่ละชนิดทำหน้าที่อะไร คือก้าวแรกที่สำคัญสู่การมีผิวสุขภาพดี การเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิวและปัญหาที่กังวล ควบคู่ไปกับการใช้อย่างสม่ำเสมอและถูกวิธี จะช่วยให้คุณสามารถดูแลผิวได้อย่างมืออาชีพและเห็นผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจอย่างไรก็ตาม สำหรับปัญหาผิวบางอย่างที่จัดการได้ยากด้วยสกินแคร์เพียงอย่างเดียว เช่น รอยแดงจากสิวที่ฝังลึก หลุมสิว หรือริ้วรอยที่ชัดเจน การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการรักษาด้วยนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ DSK Clinic เช่น โปรแกรมเลเซอร์ลดรอยแดงอย่าง Redtouch Pro หรือโปรแกรมกระตุ้นคอลลาเจนอย่าง Radiesse หรือ Sculptra จะช่วยเสริมประสิทธิภาพ และเร่งผลลัพธ์ให้คุณไปถึงเป้าหมายผิวสวยกระจ่างใสได้รวดเร็ว และปลอดภัยยิ่งขึ้นครับ
